Veuve clicquot

Veuve clicquot แชมเปญยอดฮิต จากสตรีชั้นสูงของฝรั่งเศส

          ขึ้นชื่อว่า “แชมเปญ” ที่มีชื่อเสียงและปรากฏในยุโรปแล้วนั้น ก็มีอยู่หลากหลายประเภทหรือชนิดนั้น แชมเปญฝรั่งเศส เป็นแชมเปญที่มีจุดกำเนิดเริ่มต้นมาอย่างยาวนาน ซึ่งแท้จริงแล้ว มันก็ไวน์ที่ถูกผลิตออกมาในรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นการผลิตที่มีความแตกต่างจากไวน์อย่างสิ้นเชิง หรือที่เรียกง่าย ๆ เลยก็คือ เป็นไวน์ที่มีฟอง หรือ สปาร์คกลิ้งไวน์ (Sparkling Wine) โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากแคว้น “ชองปาญ” ซึ่งเป็นไวน์ที่เกิดมาจากกระบวนการที่ผิดพลาด แต่มันกลับออกผลผลิตที่เป็นที่นิยมสำหรับนักบวชและชนชั้นสูงอย่างมาก และเพราะดังนั้น มันจึงได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์แห่งการเฉลิมฉลองชัยชนะ เป็นเครื่องดื่มของชนชั้นสูงในแวดวงสังคม และเป็นตัวแทนของการใช้ชีวิตอันน่ารื่นรมย์ ซึ่งแชมเปญในฝรั่งเศสนั้น ก็มีอยู่หลากหลายรูปแบบด้วยกัน และก็มีอยู่หลายชนิดด้วย และหนึ่งในแชมเปญที่เป็นที่ยอดนิยมในฝรั่งเศสเลยก็คือ Veuve clicquot

          Veuve clicquot เป็นแชมเปญที่ได้รับความนิยมอย่างมาก รวมไปถึงประวัติความเป็นมาที่ไม่ธรรมดา ซึ่งผู้ที่ให้กำเนิดมันก็คือ Madame Clicquot ซึ่งเป็นผู้บริหารงานแชมเปญแห่งนี้จากสามีของเธอ และมันก็ได้กลายเป็นเครื่องดื่มแชมเปญที่บุกเบิกตลาดแชมเปญให้กลายเป็นเครื่องดื่มยอดนิยม ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะกับบรรดาเหล่ากษัตริย์ และขุนนางมากมาย จึงทำให้แชมเปญชนิดนี้ได้กลายเป็น   แชมเปญประจำงานสำคัญ ๆ ต่าง ๆ มากมาย ซึ่งด้วยความเก่งกาจในการบริหารของเธอนั้น ก็ได้ส่งผลให้  Madame Clicquot ได้เป็น “La Grande Dame de la Champagne” ซึ่งมีความหมายว่า “ท่านผู้หญิงแห่งโลกแชมเปญ”

          สำหรับความพิเศษของแชมเปญชนิดนี้ ก็คือ กลิ่นที่เบาบาง และมีกลิ่นหอมอันเป็นผลมาจาก        ส้มไนตรัส ถั่วอัลมอนด์ และกลิ่นขนมปังบริโอซ ซึ่งนอกจากนี้ รสชาติที่เหมือนดั่งเหล้าที่ยังคงรสชาติสดใหม่ และเนื้อสัมผัสที่ไม่แห้งมากนัก รวมไปถึงยังมีระดับปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ 12% ก็ยังเพิ่มความนิยมอย่างยิ่งให้กับแชมเปญชนิดนี้เป็นอย่างมาก

Talbot, St Julien

Talbot ไวน์ชีวจิตจากบอร์โดซ์

          ขึ้นชื่อว่า “ไวน์” ที่มีชื่อเสียงและปรากฏในยุโรปแล้วนั้น ก็มีอยู่หลากหลายประเภทหรือชนิดนั้น ไวน์ฝรั่งเศส เป็นไวน์ที่มีการกล่าวถึงมาอย่างยาวนานและเป็นประเภทของไวน์ที่มีชื่อเสียงอย่างมาก และมีประวัติความเป็นมานับตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ จึงถือได้ว่าไวน์ฝรั่งเศสเป็นไวน์ที่อายุยืนยาวมานานนับพันปีในแถบเมดิเตอร์เรเนียน จนกระทั่งการมาถึงของศาสนาคริสต์ ซึ่งถือได้ว่าไวน์เป็นส่วนประกอบที่สำคัญอย่างมากในการประกอบพิธี ซึ่งนั่นจึงทำให้ในยุคกลาง มีพระสงฆ์ได้ปลูกองุ่นขึ้นและยังมีความรู้ในด้านการผลิตไวน์ รวมไปถึงในกลุ่มขุนนางด้วยเช่นกัน ซึ่งในฝรั่งเศสนั้นมีการปรากฏชนิดไวน์ที่มีชื่อเสียงอยู่ในหลาย ๆ ภูมิภาคไวน์ที่อยู่ในฝรั่งเศส หนึ่งในนั้นคือ แคว้นบอร์โดซ์ ซึ่งมีการผลิตไวน์ชั้นดี โดยเฉพาะไวน์แดง รวมไปถึงทั้งสภาพทางภูมิศาสตร์ที่เอื้ออำนวยในการทำไวน์ ตั้งแต่เรื่องสภาพดิน ภูมิอากาศที่ไม่ร้อนจนเกินไป นั่นจึงทำให้ในเขตภูมิภาคนี้เป็นดินแดนของไวน์ชั้นดีของฝรั่งเศส และสถานที่แห่งนี้ยังมีไวน์ชนิดหนึ่งคือ Talbot

          Talbot นั้น มีที่มาจากสถานที่แห่งนี้คือ Chateau Talbot ซึ่งใช้ชื่อมาจากทหารอังกฤษโบราณนั่นก็คือ Connetable Talbot ในปี ค.ศ. 1453 ทัลบอตถูกสังหารระหว่างยุทธการ Castillon และที่ดินดังกล่าวได้รับการตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแก่เขาจนถึงปี 1917 ครอบครัว Cordier ก็ได้เข้ามาซื้อที่ดินแห่งนี้ และสถานที่แห่งนี้ก้ได้มีการพัฒนาอย่างมากมาย ผ่านทางครอบครัวแห่งนี้ที่ได้สืบลูกสืบหลานให้เป็นเจ้าของกิจการในเวลาต่อมา ตั้งแต่ เริ่มทดลองกับระบบ Genodics ในสวนองุ่น ซึ่งมันจะส่งเสียงและความถี่ต่างๆ เพื่อเพิ่มหรือลดการเจริญเติบโตของโปรตีนในเถาวัลย์ กล่าวคือจะลดหรือขจัดความสามารถของปรสิตและโรคออกไปนั่นเอง ซึ่งนั่นถือว่าครอบครัว Cordier เป็นครอบครัวที่คำนึงถึงสุขอนามัยในไวน์อย่างยิ่งนั่นเอง

          Talbot นั้น จะมีรสชาติดีก็ต่อเมื่ออยู่ที่ 7-10 ปี โดยควรรินไว้ก่อนสัก 2 ชั่วโมง เพื่อทำให้ไวน์นุ่มและส่งกลิ่นหอม และควรเก็บรักษาในอุณหภูมิ 15.5 องศาเซลเซียส 60 องศาฟาเรนไฮต์ เพื่อทำให้ไวน์นั้นสดใหม่และอร่อยลิ้นนั่นเอง

 

St Pierre, St Julien

St Pierre ไวน์เก่าแก่จากบอร์โดซ์

          ความเก่าแก่ที่ยังคงความคลาสสิคของประวัติศาสตร์ของไวน์โบราณที่ปรากฏในทวีปยุโรป โดยเฉพาะในไวน์ฝรั่งเศสที่เป็นประเภทของไวน์ที่มีชื่อเสียงอย่างมาก และมีประวัติความเป็นมานับตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ จึงถือได้ว่าไวน์ฝรั่งเศสเป็นไวน์ที่อายุยืนยาวมานานนับพันปี รวมไปถึงการมาถึงของศาสนาคริสต์ ที่ส่งผลทำให้ในยุคกลาง มีพระสงฆ์ได้ปลูกองุ่นขึ้นและยังมีความรู้ในด้านการผลิตไวน์ รวมไปถึงในกลุ่มขุนนางด้วยเช่นกัน ซึ่งในฝรั่งเศสนั้นมีการปรากฏชนิดไวน์ที่มีชื่อเสียงอยู่ในหลาย ๆ ภูมิภาคไวน์ที่อยู่ในฝรั่งเศส หนึ่งในนั้นคือ แคว้นบอร์โดซ์ ซึ่งมีการผลิตไวน์ชั้นดี รวมไปถึงทั้งสภาพทางภูมิศาสตร์ที่เอื้ออำนวยในการทำไวน์ ตั้งแต่เรื่องสภาพดิน ภูมิอากาศที่ไม่ร้อนจนเกินไป นั่นจึงทำให้ในเขตภูมิภาคนี้เป็นดินแดนของไวน์ชั้นดีของฝรั่งเศส และหนึ่งในไวน์ที่มีการกำเนิดเกิดขึ้นนั้นก็คือ St Pierre

          St Pierre มีที่มาจาก Chateau Saint Pierre มีอายุที่สามารถย้อนได้ถึงศตวรรษที่ 17 เลยทีเดียว ซึ่งตามเอกสารทางประวัติศาสตร์กลับพบว่า มันมีการปลูกครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 1693 ก่อนหน้านั้นที่ดินเป็นไร่นา ก่อนที่มันจะกลายเป็นไร่องุ่นในเวลาต่อมา ก่อยที่มันจะถูกขายต่อให้กับ Alfred Martin ในช่วงยุค 1920 ซึ่งหลังจากนั้นก็ได้มีการพัฒนาอย่างมากมาย จนกระทั่งมาถึงยุคของ Henry Martin ที่ได้มีการซื้อที่ดินเพิ่มเติม พร้อมกับการพัฒนาที่ดินแห่งนี้อย่างมากมายมากขึ้น โดยการมีปรับปรุงที่ดินเสร็จสมบูรณ์ในปี 2016 นั่นเอง ซึ่งที่ดินแห่งนี้เรียกได้ว่ามีการปลูกพันธุ์องุ่นที่หลากหลาย เช่น Cabernet Sauvignon , Merlotและ Cabernet Franc และในส่วนของปริมาณ Cabernet Sauvignon ก็ดูจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในไร่องุ่นอีกด้วยนั่นเอง

          St Pierre นั้น จะมีรสชาติดีก็ต่อเมื่ออยู่ที่ 8-10 ปี โดยควรรินไว้ก่อนสัก 2-3 ชั่วโมง เพื่อทำให้ไวน์นุ่มและส่งกลิ่นหอม และควรเก็บรักษาในอุณหภูมิ 15.5 องศาเซลเซียส 60 องศาฟาเรนไฮต์ เพื่อทำให้ไวน์นั้นสดใหม่และอร่อยลิ้นนั่นเอง ซึ่งนอกจากนี้ ไวน์ชนิดนี้ยังจะดีที่สุดเมื่อได้เสิร์ฟพร้อมกับอาหารเอเชียด้วยนั่นเอง

 

Rauzan-Ségla, Margaux

Rauzan-Ségla ไวน์ชื่อดังยอดฮิตจากบอร์โดซ์

          ในบรรดาไวน์ที่เก่าแก่อย่างมากของทวีปยุโรป ซึ่งมีอยู่หลากหลายประเภทหรือชนิดนั้น ไวน์ฝรั่งเศส เป็นไวน์ที่มีการกล่าวถึงมาอย่างยาวนานและเป็นประเภทของไวน์ที่มีชื่อเสียงอย่างมาก และมีประวัติความเป็นมานับตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ จึงถือได้ว่าไวน์ฝรั่งเศสเป็นไวน์ที่อายุยืนยาวมานานนับพันปีในแถบ         เมดิเตอร์เรเนียน จนกระทั่งการมาถึงของศาสนาคริสต์ ซึ่งถือได้ว่าไวน์เป็นส่วนประกอบที่สำคัญอย่างมากในการประกอบพิธี ซึ่งนั่นจึงทำให้ในยุคกลาง มีพระสงฆ์ได้ปลูกองุ่นขึ้นและยังมีความรู้ในด้านการผลิตไวน์ รวมไปถึงในกลุ่มขุนนางด้วยเช่นกัน ซึ่งในฝรั่งเศสนั้นมีการปรากฏชนิดไวน์ที่มีชื่อเสียงอยู่ในหลาย ๆ ภูมิภาคไวน์ที่อยู่ในฝรั่งเศส หนึ่งในนั้นคือ แคว้นบอร์โดซ์ ซึ่งมีการผลิตไวน์ชั้นดี โดยเฉพาะไวน์แดง รวมไปถึงทั้งสภาพทางภูมิศาสตร์ที่เอื้ออำนวยในการทำไวน์ ตั้งแต่เรื่องสภาพดิน ภูมิอากาศที่ไม่ร้อนจนเกินไป นั่นจึงทำให้ในเขตภูมิภาคนี้เป็นดินแดนของไวน์ชั้นดีของฝรั่งเศส และหนึ่งในไวน์ที่มีการผลิต ณ แค้วนบอร์โดซ์แห่งนี้ ซึ่งถือได้ว่าเป็นหนึ่งในไวน์ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดก็คือ Rauzan-Ségla

          Rauzan-Ségla มีจุดเริ่มต้นมาจาก Chateau Rauzan Ségla มีประวัติอันยาวนานและน่าสนใจมาตั้งแต่ใน ปี ค.ศ. 1661 ซึ่งเป็นปีที่ Pierre Desmezures de Rauzan ได้เข้ามาดูแลสถานที่แห่งนี้นั่นเอง ซึ่งในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ไวน์ของ Rauzan Segla ได้กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก โดย โธมัส เจฟเฟอร์สัน ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่สามของสหรัฐอเมริกาได้ประกาศว่า Rauzan-Ségla เป็นไวน์ที่อยู่ในอันดับต้น ๆ เลยทีเดียว และสถานที่แห่งนี้ก็ได้ถูกเปลี่ยนมือไปอย่างมากมาย จนมาถึงในปี ค.ศ. 1984 โดยสถานที่แห่งนี้ได้ถูกขายให้กับ พี่น้อง Wertheimer โดยสองพี่น้องเรียกได้ว่าได้พัฒนาสถานที่แห่งนี้อย่างมากมายเลยทีเดียว และเป็นอย่างนั้นมาจนถึงปัจจุบันนั่นเอง

          Rauzan-Ségla นั้น จะมีรสชาติดีก็ต่อเมื่ออยู่ที่ 12-15 ปี โดยควรรินไว้ก่อนสัก 3-4 ชั่วโมง เพื่อทำให้ไวน์นุ่มและส่งกลิ่นหอม และควรเก็บรักษาในอุณหภูมิ 15.5 องศาเซลเซียส 60 องศาฟาเรนไฮต์ เพื่อทำให้ไวน์นั้นสดใหม่และอร่อยลิ้นนั่นเอง

 

Rauzan-Gassies, Margaux

Rauzan-Gassies ไวน์ชั้นนำและดีจากบอร์โดซ์

          ขึ้นชื่อว่า “ไวน์” ที่มีชื่อเสียงและปรากฏในยุโรปแล้วนั้น ก็มีอยู่หลากหลายประเภทหรือชนิดนั้น ไวน์ฝรั่งเศส เป็นไวน์ที่มีการกล่าวถึงมาอย่างยาวนานและเป็นประเภทของไวน์ที่มีชื่อเสียงอย่างมาก และมีประวัติความเป็นมานับตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ จึงถือได้ว่าไวน์ฝรั่งเศสเป็นไวน์ที่อายุยืนยาวมานานนับพันปีในแถบเมดิเตอร์เรเนียน จนกระทั่งการมาถึงของศาสนาคริสต์ ซึ่งถือได้ว่าไวน์เป็นส่วนประกอบที่สำคัญอย่างมากในการประกอบพิธี ซึ่งนั่นจึงทำให้ในยุคกลาง มีพระสงฆ์ได้ปลูกองุ่นขึ้นและยังมีความรู้ในด้านการผลิตไวน์ รวมไปถึงในกลุ่มขุนนางด้วยเช่นกัน ซึ่งในฝรั่งเศสนั้นมีการปรากฏชนิดไวน์ที่มีชื่อเสียงอยู่ในหลาย ๆ ภูมิภาคไวน์ที่อยู่ในฝรั่งเศส หนึ่งในนั้นคือ แคว้นบอร์โดซ์ ซึ่งมีการผลิตไวน์ชั้นดี โดยเฉพาะไวน์แดง รวมไปถึงทั้งสภาพทางภูมิศาสตร์ที่เอื้ออำนวยในการทำไวน์ ตั้งแต่เรื่องสภาพดิน ภูมิอากาศที่ไม่ร้อนจนเกินไป นั่นจึงทำให้ในเขตภูมิภาคนี้เป็นดินแดนของไวน์ชั้นดีของฝรั่งเศส และสถานที่แห่งนี้ยังมีไวน์ชนิดหนึ่งคือ Rauzan-Gassies

          Rauzan-Gassies มีต้นกำเนิดมาจาก Chateau Rauzan Gassies โดยเริ่มมาในช่วงกลางศตวรรษที่สิบเจ็ด ในขณะนั้นเป็นส่วนหนึ่งของที่ดิน Rauzan ขนาดมหึมาที่ Pierre de Mesures de Rauzan เป็นเจ้าของ ก่อนที่จะถูกแบ่งในเวลาต่อมาครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1946 Chateau Rauzan Gassies ถูกขายให้กับครอบครัว Quie และครอบครัวนี้ ก็ได้เป็นผู้สืบทอดมรดกไวน์ชั้นดีแห่งนี้เป็นเวลาต่อมาอย่างนาวนาน และในปี 2008 พวกเขาเปิดห้องชิมไวน์ใหม่ที่สวยงาม ในปี 2018 พวกเขาได้ทำการปรับปรุงและปรับปรุงห้องใต้ดินให้ทันสมัย จึงถือว่เป็นพวกเขาเป็นผู้ที่ทำให้ Rauzan-Gassies พัฒนาต่อไปได้อย่างดีเยี่ยมนั่นเอง

          Rauzan-Gassies นั้น จะมีรสชาติดีก็ต่อเมื่ออยู่ที่ 6-8 ปี โดยควรรินไว้ก่อนสัก 1-2 ชั่วโมง เพื่อทำให้ไวน์นุ่มและส่งกลิ่นหอม และควรเก็บรักษาในอุณหภูมิ 15.5 องศาเซลเซียส 60 องศาฟาเรนไฮต์ เพื่อทำให้ไวน์นั้นสดใหม่และอร่อยลิ้นนั่นเอง

 

 

Prieuré-Lichine, Margaux

Prieuré-Lichine ไวน์ชั้นนำจากพื้นที่นักบุญในบอร์โดซ์

          ความเก่าแก่ที่ยังคงความคลาสสิคของประวัติศาสตร์ของไวน์โบราณที่ปรากฏในทวีปยุโรป โดยเฉพาะในไวน์ฝรั่งเศสที่เป็นประเภทของไวน์ที่มีชื่อเสียงอย่างมาก และมีประวัติความเป็นมานับตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ จึงถือได้ว่าไวน์ฝรั่งเศสเป็นไวน์ที่อายุยืนยาวมานานนับพันปี รวมไปถึงการมาถึงของศาสนาคริสต์ ที่ส่งผลทำให้ในยุคกลาง มีพระสงฆ์ได้ปลูกองุ่นขึ้นและยังมีความรู้ในด้านการผลิตไวน์ รวมไปถึงในกลุ่มขุนนางด้วยเช่นกัน ซึ่งในฝรั่งเศสนั้นมีการปรากฏชนิดไวน์ที่มีชื่อเสียงอยู่ในหลาย ๆ ภูมิภาคไวน์ที่อยู่ในฝรั่งเศส หนึ่งในนั้นคือ แคว้นบอร์โดซ์ ซึ่งมีการผลิตไวน์ชั้นดี รวมไปถึงทั้งสภาพทางภูมิศาสตร์ที่เอื้ออำนวยในการทำไวน์ ตั้งแต่เรื่องสภาพดิน ภูมิอากาศที่ไม่ร้อนจนเกินไป นั่นจึงทำให้ในเขตภูมิภาคนี้เป็นดินแดนของไวน์ชั้นดีของฝรั่งเศส และหนึ่งในไวน์ที่มีการกำเนิดเกิดขึ้นนั้นก็คือ Prieuré-Lichine

          Prieuré-Lichine มีต้นกำเนิดมาจาก Chateau Prieure Lichine ซึ่งแต่เดิมมันเป็นพื้นที่ไร่องุ่นของพระสงฆ์สำหรับผลิตไวน์สำหรับอาหารค่ำและพิธีทางศาสนาต่าง ๆ ซึ่งหลังจากปฏิวัติฝรั่งเศส มันก็ได้ถูกขายทอดตลาดและเปลี่ยนมือเจ้าของไปมากมาย จนกระทั่งในช่วงปี 1950 Alexis Lichine ได้เข้ามาซื้อที่ดินแห่งนี้

          และได้รับความช่วยเหลือจาก Count Lur Saluces ในปี ค.ศ. 1953 จึงทำให้สถานที่แห่งนี้ได้กลายเป็นแหล่งผลิตไวน์ชั้นนำของบอร์โดซ์เลยทีเดียว และมันก็ได้ถูกขายต่อให้ Groupe Ballande ด้วยเงินเกือบ 20,000,000 ปอนด์อังกฤษ และปัจจุบัน มรดกชิ้นนี้ก็ยังคงสืบทอดในครอบครัว Ballande และยังคงพัฒนาไวน์ชั้นดีออกมาต่อไป

          Prieuré-Lichine นั้น จะมีรสชาติดีก็ต่อเมื่ออยู่ที่ 7-10 ปี โดยควรรินไว้ก่อนสัก 1-3 ชั่วโมง เพื่อทำให้ไวน์นุ่มและส่งกลิ่นหอม และควรเก็บรักษาในอุณหภูมิ 15.5 องศาเซลเซียส 60 องศาฟาเรนไฮต์ เพื่อทำให้ไวน์นั้นสดใหม่และอร่อยลิ้นนั่นเอง

Pontet-Canet, Pauillac

Pontet-Canet ไวน์ยอดนิยมแห่งบอร์โดซ์

          ความเก่าแก่ที่ยังคงความคลาสสิคของประวัติศาสตร์ของไวน์โบราณที่ปรากฏในทวีปยุโรป โดยเฉพาะในไวน์ฝรั่งเศสที่เป็นประเภทของไวน์ที่มีชื่อเสียงอย่างมาก และมีประวัติความเป็นมานับตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ จึงถือได้ว่าไวน์ฝรั่งเศสเป็นไวน์ที่อายุยืนยาวมานานนับพันปี รวมไปถึงการมาถึงของศาสนาคริสต์ ที่ส่งผลทำให้ในยุคกลาง มีพระสงฆ์ได้ปลูกองุ่นขึ้นและยังมีความรู้ในด้านการผลิตไวน์ รวมไปถึงในกลุ่มขุนนางด้วยเช่นกัน ซึ่งในฝรั่งเศสนั้นมีการปรากฏชนิดไวน์ที่มีชื่อเสียงอยู่ในหลาย ๆ ภูมิภาคไวน์ที่อยู่ในฝรั่งเศส หนึ่งในนั้นคือ แคว้นบอร์โดซ์ ซึ่งมีการผลิตไวน์ชั้นดี รวมไปถึงทั้งสภาพทางภูมิศาสตร์ที่เอื้ออำนวยในการทำไวน์ ตั้งแต่เรื่องสภาพดิน ภูมิอากาศที่ไม่ร้อนจนเกินไป นั่นจึงทำให้ในเขตภูมิภาคนี้เป็นดินแดนของไวน์ชั้นดีของฝรั่งเศส และหนึ่งในไวน์ที่มีการกำเนิดเกิดขึ้นนั้นก็คือ Pontet-Canet

          Pontet-Canet มีต้นกำเนิดมาจาก Chateau Pontet Canet ตามธรรมเนียมของวัน Chateau Pontet Canet ซึ่งในส่วนของชื่อนั้นมาจากอดีตเจ้าของ ซึ่งเป็นผู้ว่าการ Medoc นั่นก็คือ Jean-François de Pontet ก่อนที่จะมีเจ้าของอีกจำนวนมากในช่วงต้นศตวรรษที่ 18 Pontet สามารถขยายไร่องุ่นบอร์โดซ์ด้วยการซื้อไร่องุ่น Pauillac เพิ่มเติมด้วย ซึ่งหลังจากนั้น ที่แห่งนี้ก็มีการผลิตไวน์ด้วยเจ้าของมากหน้าหลายตามากมาย จนมากระทั่งเมื่อ Alfred Tesseron เข้ามาบริหารที่ดินในปี 1994 ที่ดินแห่งนี้ก็ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องทุกปี ซึ่งตัวเขามีแนวคิดที่น่าสนใจและเป็นปรัชญาเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาทำที่ Chateau Pontet Canet ในปัจจุบัน ในการสัมภาษณ์ที่เราทำ เขาได้ให้สัมภาษณ์ว่า “ฉันไม่ใช่ผู้ผลิตไวน์ สมาชิกในทีมของฉันไม่ใช่ผู้ผลิตไวน์เช่นกัน เนื่องจากงานส่วนใหญ่ทำในไร่องุ่น เราเป็นคนปลูกองุ่น ความสำเร็จของเราที่ Pontet Canet เกิดจากความพยายามของเราในไร่องุ่น ไม่ใช่การผลิตไวน์ สุดท้ายนี้ เป้าหมายของเราคือผลิตเหล้าองุ่น Pontet Canet ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะสำหรับดื่ม ไม่ใช่แค่สำหรับชิมไวน์” นั่นเป็นคำอธิบายที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับ Alfred Tesseron ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเขาอยากเป็นเกษตรกร แม้ว่าเขาจะได้รับปริญญาด้านวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต เมื่อคุณคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ Alfred Tesseron บรรลุเป้าหมายของเขาแล้ว

          Pontet-Canet นั้น จะมีรสชาติดีก็ต่อเมื่ออยู่ที่ 10-15 ปี โดยควรรินไว้ก่อนสัก 2-4 ชั่วโมง เพื่อทำให้ไวน์นุ่มและส่งกลิ่นหอม และควรเก็บรักษาในอุณหภูมิ 15.5 องศาเซลเซียส 60 องศาฟาเรนไฮต์ เพื่อทำให้ไวน์นั้นสดใหม่และอร่อยลิ้นนั่นเอง

Pichon Baron, Pauillac

Pichon Baron ไวน์ชั้นเยี่ยมและทรงอิทธิพลในบอร์โดซ์

          ในบรรดาไวน์ที่เก่าแก่อย่างมากของทวีปยุโรป ซึ่งมีอยู่หลากหลายประเภทหรือชนิดนั้น ไวน์ฝรั่งเศส เป็นไวน์ที่มีการกล่าวถึงมาอย่างยาวนานและเป็นประเภทของไวน์ที่มีชื่อเสียงอย่างมาก และมีประวัติความเป็นมานับตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ จึงถือได้ว่าไวน์ฝรั่งเศสเป็นไวน์ที่อายุยืนยาวมานานนับพันปีในแถบ         เมดิเตอร์เรเนียน จนกระทั่งการมาถึงของศาสนาคริสต์ ซึ่งถือได้ว่าไวน์เป็นส่วนประกอบที่สำคัญอย่างมากในการประกอบพิธี ซึ่งนั่นจึงทำให้ในยุคกลาง มีพระสงฆ์ได้ปลูกองุ่นขึ้นและยังมีความรู้ในด้านการผลิตไวน์ รวมไปถึงในกลุ่มขุนนางด้วยเช่นกัน ซึ่งในฝรั่งเศสนั้นมีการปรากฏชนิดไวน์ที่มีชื่อเสียงอยู่ในหลาย ๆ ภูมิภาคไวน์ที่อยู่ในฝรั่งเศส หนึ่งในนั้นคือ แคว้นบอร์โดซ์ ซึ่งมีการผลิตไวน์ชั้นดี โดยเฉพาะไวน์แดง รวมไปถึงทั้งสภาพทางภูมิศาสตร์ที่เอื้ออำนวยในการทำไวน์ ตั้งแต่เรื่องสภาพดิน ภูมิอากาศที่ไม่ร้อนจนเกินไป นั่นจึงทำให้ในเขตภูมิภาคนี้เป็นดินแดนของไวน์ชั้นดีของฝรั่งเศส และหนึ่งในไวน์ที่มีการผลิต ณ แค้วนบอร์โดซ์แห่งนี้ ซึ่งถือได้ว่าเป็นหนึ่งในไวน์ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดก็คือ Pichon Baron

          Pichon Baron มีที่มาและต้นกำเนิดมาจาก Chateau Pichon Longueville Baron ซึ่งแต่เดิมนั้น มันมีอยู่ด้วยกัน 2 ไร่ นั่นก็คือ Chateau Pichon Baron และ Chateau Pichon Lalande ก่อนที่จะรวมเข้าด้วยกันภายหลังการแต่งงานของเจ้าของที่ดิน และหลังจากนั้น สถานที่แห่งนี้ก็ได้กลายเป็นสถานที่ผลิตไวน์โดยเหล่าบรรดาเจ้าของต่าง ๆ ที่ได้เข้ามาลงทุน ซึ่งหลังจากนั้นสถานที่แห่งนี้ต่างก็ต้องพบเจอกับความยากลำบากอย่างมาก จนกระทั่ง Jean-Michel Cazes แห่ง Chateau Lynch Bages ได้เข้ามาช่วยดูแลสถานที่แห่งนี้ และก็เพราะเขานี่เอง ที่ได้ช่วยพัฒนาที่ดินตรงนี้ให้มีศักยภาพ รวมไปถึงการพัฒนาเครื่องไม้เครื่องมือให้มีคุณภาพพอที่จะพัฒนาไวน์ที่มีคุณภาพนั่นเอง

          Pichon Baron นั้น จะมีรสชาติดีก็ต่อเมื่ออยู่ที่ 15 ปี โดยควรรินไว้ก่อนสัก 3-6 ชั่วโมง เพื่อทำให้ไวน์นุ่มและส่งกลิ่นหอม และควรเก็บรักษาในอุณหภูมิ 15.5 องศาเซลเซียส 60 องศาฟาเรนไฮต์ เพื่อทำให้ไวน์นั้นสดใหม่และอร่อยลิ้นนั่นเอง

 

Pichon Comtesse de Lalande, Pauillac

Pichon Comtesse de Lalande หนึ่งในไวน์ที่ดีที่สุดในบอร์โดซ์

          ขึ้นชื่อว่า “ไวน์” ที่มีชื่อเสียงและปรากฏในยุโรปแล้วนั้น ก็มีอยู่หลากหลายประเภทหรือชนิดนั้น ไวน์ฝรั่งเศส เป็นไวน์ที่มีการกล่าวถึงมาอย่างยาวนานและเป็นประเภทของไวน์ที่มีชื่อเสียงอย่างมาก และมีประวัติความเป็นมานับตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ จึงถือได้ว่าไวน์ฝรั่งเศสเป็นไวน์ที่อายุยืนยาวมานานนับพันปีในแถบเมดิเตอร์เรเนียน จนกระทั่งการมาถึงของศาสนาคริสต์ ซึ่งถือได้ว่าไวน์เป็นส่วนประกอบที่สำคัญอย่างมากในการประกอบพิธี ซึ่งนั่นจึงทำให้ในยุคกลาง มีพระสงฆ์ได้ปลูกองุ่นขึ้นและยังมีความรู้ในด้านการผลิตไวน์ รวมไปถึงในกลุ่มขุนนางด้วยเช่นกัน ซึ่งในฝรั่งเศสนั้นมีการปรากฏชนิดไวน์ที่มีชื่อเสียงอยู่ในหลาย ๆ ภูมิภาคไวน์ที่อยู่ในฝรั่งเศส หนึ่งในนั้นคือ แคว้นบอร์โดซ์ ซึ่งมีการผลิตไวน์ชั้นดี โดยเฉพาะไวน์แดง รวมไปถึงทั้งสภาพทางภูมิศาสตร์ที่เอื้ออำนวยในการทำไวน์ ตั้งแต่เรื่องสภาพดิน ภูมิอากาศที่ไม่ร้อนจนเกินไป นั่นจึงทำให้ในเขตภูมิภาคนี้เป็นดินแดนของไวน์ชั้นดีของฝรั่งเศส และสถานที่แห่งนี้ยังมีไวน์ชนิดหนึ่งคือ Pichon Comtesse de Lalande

          Pichon Comtesse de Lalande มีจุดกำเนิดมาจาก Chateau Pichon Comtesse de Lalande ซึ่งไวน์ที่เกิดจากที่นี้ได้กลายเป็นที่กล่าวขานของบรรดานักชิมไวน์ทั้งหลายด้วยว่าเป็นหนึ่งในไวน์ที่ดีที่สุดใน  บอร์โดซ์ ซึ่งที่มาของชื่อนั้น ได้เริ่มขึ้นในเมื่อ Therse ลูกสาวของผู้ก่อตั้งได้รับมรดกเป็นสินสอดทองหมั้นเมื่อเธอแต่งงานกับ Jacques de Pichon Longueville ซึ่งตัวเขานี้ไม่เพียงแต่มีชื่อเสียงในฐานะเจ้าของปราสาทเท่านั้น แต่ยังได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีคนแรกของรัฐสภาบอร์โดซ์อีกด้วย ซึ่งหลังจากนั้น สถานที่แห่งนี้ได้ถูกเปลี่ยนมือไปอยู่กับเจ้าของอีกมากมาย จนมา๔งปัจจุบัน ที่สถานที่แห่งนี้ได้รับการดูแลจาก Nicolas Glumineau ซึ่งเป็นยุคที่เรียกได้ว่าเป็นยุคที่ Pichon Comtesse de Lalande ประสบความสำเร็จอย่างมาก

          Pichon Comtesse de Lalande นั้น จะมีรสชาติดีก็ต่อเมื่ออยู่ที่ 10-12 ปี โดยควรรินไว้ก่อนสัก   2-4 ชั่วโมง เพื่อทำให้ไวน์นุ่มและส่งกลิ่นหอม และควรเก็บรักษาในอุณหภูมิ 15.5 องศาเซลเซียส 60 องศา  ฟาเรนไฮต์ เพื่อทำให้ไวน์นั้นสดใหม่และอร่อยลิ้นนั่นเอง

 

Petrus pomerol

Petrus pomerol ไวน์เก่าแก่ ที่ถูกพัฒนาให้ล้ำสมัยอย่างยิ่งจากบอร์โดซ์

          ขึ้นชื่อว่า “ไวน์” ที่มีชื่อเสียงและปรากฏในยุโรปแล้วนั้น ก็มีอยู่หลากหลายประเภทหรือชนิดนั้น ไวน์ฝรั่งเศส เป็นไวน์ที่มีการกล่าวถึงมาอย่างยาวนานและเป็นประเภทของไวน์ที่มีชื่อเสียงอย่างมาก และมีประวัติความเป็นมานับตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ จึงถือได้ว่าไวน์ฝรั่งเศสเป็นไวน์ที่อายุยืนยาวมานานนับพันปีในแถบเมดิเตอร์เรเนียน จนกระทั่งการมาถึงของศาสนาคริสต์ ซึ่งถือได้ว่าไวน์เป็นส่วนประกอบที่สำคัญอย่างมากในการประกอบพิธี ซึ่งนั่นจึงทำให้ในยุคกลาง มีพระสงฆ์ได้ปลูกองุ่นขึ้นและยังมีความรู้ในด้านการผลิตไวน์ รวมไปถึงในกลุ่มขุนนางด้วยเช่นกัน ซึ่งในฝรั่งเศสนั้นมีการปรากฏชนิดไวน์ที่มีชื่อเสียงอยู่ในหลาย ๆ ภูมิภาคไวน์ที่อยู่ในฝรั่งเศส หนึ่งในนั้นคือ แคว้นบอร์โดซ์ ซึ่งมีการผลิตไวน์ชั้นดี โดยเฉพาะไวน์แดง รวมไปถึงทั้งสภาพทางภูมิศาสตร์ที่เอื้ออำนวยในการทำไวน์ ตั้งแต่เรื่องสภาพดิน ภูมิอากาศที่ไม่ร้อนจนเกินไป นั่นจึงทำให้ในเขตภูมิภาคนี้เป็นดินแดนของไวน์ชั้นดีของฝรั่งเศส และสถานที่แห่งนี้ยังมีไวน์ชนิดหนึ่งคือ Petrus pomerol

          Petrus pomerol ถือว่าเป็นไวน์แพงที่สุดในบอร์โดซ์ โดยมีจุดเริ่มต้นจากในช่วงกลางทศวรรษ 1750 โดยมีเจ้าของคนแรก ๆ อย่าง Jacques Meyraud ที่ได้ซื้อที่ดินไร่องุ่น Pomerol ที่ Gazin จากตระกูล Voisin ซึ่งหลังจากนั้น มันก็ได้มีการพัฒนาและผลิตไวน์ออกมามากมาย รวมไปถึงเจ้าของอีกมากมายหลากหลายผู้คนเข้ามาผลิตไวน์จากที่นี้ จนกระทั่งมาถึงในปัจจุบัน ที่มีผู้บริหารไวน์แห่งนี้ก็คือ Jean-Francois Moueix ซึงได้พัฒนาผลผลิตของที่นี่ให้มีคุณภาพอย่างยิ่ง ตั้งแต่ไร่องุ่นจนมาถึงเครื่องไม้เครื่องมือในการผลิตไวน์อีกด้วย และล่าสุด ทางบอร์โดซ์ได้มีการส่งไวน์ชนิดนี้ไปบ่มเพาะอยู่ในสถานีอวกาศเป็นเวลา 1 ปี ซึ่งการทดลองในครั้งนี้ก็เพื่อที่จะกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาพันธุ์พืชที่ทนทานต่อสภาวะต่าง ๆ ได้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สภาวะในอวกาศได้นั่นเอง

          Petrus pomerol นั้น จะมีรสชาติดีก็ต่อเมื่ออยู่ที่ 15-20 ปี โดยควรรินไว้ก่อนสัก 2-4 ชั่วโมง เพื่อทำให้ไวน์นุ่มและส่งกลิ่นหอม และควรเก็บรักษาในอุณหภูมิ 15.5 องศาเซลเซียส 60 องศาฟาเรนไฮต์ เพื่อทำให้ไวน์นั้นสดใหม่และอร่อยลิ้นนั่นเอง