Chateau Beausejour Duffau Lagarrosse

Chateau Beausejour Duffau Lagarrosse หนึ่งในไวน์บอร์โดซ์ยอดนิยมแห่งฝรั่งเศส

       ประวัติความเป็นมาของไวน์ที่เกิดขึ้นในทวีปยุโรปนั้น มีเรื่องราวที่เล่าขานกันมาอย่างยาวนานนับตั้งแต่อารยธรรมกรีกโบราณ ซึ่งปรากฏขึ้นมาในหลาย ๆ ประเทศทั้งสเปนหรือฝรั่งเศส และไวน์ที่มีอิทธิพลอย่างมากคือ ไวน์ฝรั่งเศส นั่นจึงถือได้ว่าเป็นไวน์ฝรั่งเศสเริ่มมีอิทธิพลมาอย่างยาวนานนับพันปี และรวมถึงการมาของศาสนาคริสต์ อิทธิพลของไวน์ก็ยิ่งมีเพิ่มมากขึ้น จนส่งผลทำให้กลุ่มพระสงฆ์และขุนนางได้เริ่มปลูกองุ่น และได้ใช้มันในการผลิตไวน์มากขึ้น และหนึ่งในดินแดนที่มีการปลูกองุ่นและผลิตไวน์คือ แคว้นบอร์โดซ์ ด้วยสาเหตุสภาพทางภูมิศาสตร์ที่เอื้ออำนวยในการทำไวน์ ตั้งแต่เรื่องสภาพดิน ภูมิอากาศที่ไม่ร้อนจนเกินไป นั่นจึงทำให้ในเขตภูมิภาคนี้เป็นดินแดนของไวน์ชั้นดีของฝรั่งเศส โดยเฉพาะไวน์แดง และไวน์ที่เป็นยี่ห้อที่ยอดนิยมมานับตั้งแต่สมัยโบราณคือ Chateau Beausejour Duffau Lagarrosse

       Chateau Beausejour Duffau Lagarrosse เป็นชื่อของสถานที่ผลิตไวน์ที่มีการกำเนิดมานับตั้งแต่ยุคโบราณ โดยในอดีตมันเคยเป็นที่ของพระสงฆ์ที่ใช้ในการปลูกองุ่น ซึ่งอยู่ในการครอบครองอันเดียวกับ Château Beau-Séjour Bécot ซึ่งส่งผลทำให้สถานที่แห่งนี้ถูกเรียกว่า “อัญมณีแห่งไร่องุ่น” เลยทีเดียว ซึ่งเมื่อย้อนไปในช่วงปี ค.ศ. 1847 ซึ่ง ครอบครัว Duffau-Lagarrosse เป็นผู้ที่ครอบครองสถานที่ดังกล่าวนี้ได้พยายามพัฒนาไวน์เพื่อให้เข้าไปยุคสมัยได้อย่างทั่วถึงและทันสมัย จนสามารถนำพามาถึงจุดที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง

       ด้วยสถานที่ที่มีพื้นที่ถึง 43.75 ไร่ ตั้งอยู่บนเนินเขา และอยู่บนทำเลที่ยอดเยี่ยมและผืนดินที่มีคุณภาพพร้อมเปิดรับลมและแสงแดด จึงส่งผลทำให้มีการผลิตองุ่นอยู่มากมายตั้งแต่ องุ่นพันธุ์แมร์โลถึง 75% และกา-แบร์เน-ฟรองถึง 25% รวมไปถึง กาแบร์เนโซวีญง เพียงไม่กี่ต้น ซึ่งในปัจจุบันมีความตั้งใจที่จะเพิ่มจำนวนของกาแบร์เน-ฟรอง มากขึ้น และอายุเฉลี่ยของเถาวัลย์จะมีอายุอยู่ที่ 35 ปี นั่นจึงทำให้สถานที่แห่งนี้ได้ให้กำเนิดไวน์ที่มีคุณภาพและมีชื่อเดียวกันนั้นก็คือ Chateau Beausejour Duffau Lagarrosse

       ซึ่งเครื่องดื่มดังกล่าวนี้จะดีที่สุดควรอยู่ในช่วงอย่างน้อย 12-15 ปี และควรรินไว้ก่อน 2-3 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น เพื่อทำให้ไวน์นุ่มและมีความหอมขึ้นมา และควรเก็บไว้ในอุณหภูมิ 15.5 องศาเซลเซียส 60 องศาฟาเรนไฮต์ เพื่อทำให้ไวนืดังกล่าวมีความสดใหม่นั่นเอง