PF BIN 23 PINOT NOIR

PF BIN 23 PINOT NOIR ไวน์แดงชั้นนำจากออสเตรเลีย

      หากจะพูดถึงไวน์ในออสเตรเลียแล้วนั้น มันมีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่ในปี ค.ศ. 1788 โดยได้มีการนำองุ่นมาปลูกไว้ใกล้เคียงเมืองซิดนีย์ จนทำให้เกิดสถานที่สำคัญมากมายเช่น Hunter Valley, Barossa Valley และ Yarra Valley ในปี ค.ศ. 1890 นั่นเอง จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1950 อันเป็นช่วงที่มีชาวยุโรปได้เข้ามาตั้งรกราก ทำให้อุตสาหกรรมไวน์เริ่มกว้างขึ้น จนส่งผลทำให้ความนิยมของไวน์ในออสเตรเลียเริ่มมีมากขึ้นจนมาถึงปัจจุบัน ซึ่งในปัจจุบัน ธุรกิจไวน์ในออสเตรเลียได้กลายเป็นหนึ่งในสิ่งที่ช่วยขับเคลื่อนประเทศ โดยเฉพาะในด้านการท่องเที่ยว และทางวัฒนธรรมที่มีเพิ่มมากขึ้นด้วยนั่นเอง และในอุตสาหกรรมไวน์ที่ได้มีการผลิตนั้น ก็มีอยู่หลากหลายยี่ห้อที่ได้รับความนิยม และหนึ่งในนั้นคือ PF BIN 23 PINOT NOIR

       PF BIN 23 PINOT NOIR เป็นไวน์ที่เกิดขึ้นจากที่ Magill Estate ในออสเตรเลีย ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่สืบทอดและพัฒนามาจากความสำเร็จของ Penfolds Cellar Reserve Pinot Noir ซึ่งเอกลักษณ์ของ PF BIN 23 PINOT NOIR ที่นอกจากจะเป็นไวน์แดงแล้วนั้น มันยังส่งกลิ่นหอมของราสเบอร์รี่และสตรอว์เบอร์รี่ขึ้นมา และมันยังเป็นรสชาติที่เราจะได้สัมผัสผ่านปลายลิ้น อันทำให้ละมุนไปได้ทั่วทั้งปาก

 

 

Glenmorangie The Quinta Ruban 14 Year Old

Glenmorangie The Quinta Ruban 14 Year Old วิสกี้ชิ้นดีแสนละมุนแห่ง Glenmorangie

      หากเราจะพูดถึงโรงกลั่นวิสกี้ที่ดีแห่งหนึ่งในสกอตแลนด์ หนึ่งในนั้นที่เราจะพูดถึงก็คือ Glenmorangie ซึ่งเป็นโรงกลั่นที่ตั้งอยู่ในเมือง Tain ซึ่งมีบรรยากาศอันแสนเงียบสงบแห่งหนึ่งในสกอตแลนด์ โดยเริ่มก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1843 โดย William Matheson ซึ่งใน Glenmorangie นั้น ก็มีกรรมวิธีในการทำวิสกี้ที่พิเศษตั้งแต่ขั้นตอนการกลั่นไปจนถึงการหมักที่จะใช้ถังไม้โอ๊คที่สั่งทำพิเศษขึ้นมาจากสหรัฐอเมริกา นั่นจึงทำให้วิสกี้ของที่นี้มีเอกลักษณ์อย่างมาก ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ Glenmorangie The Quinta Ruban 14 Year Old

       Glenmorangie The Quinta Ruban 14 Year Old เป็นวิสกี้ยอดนิยมที่เป็นการต่อยอดมาจาก Glenmorangie The Quinta Ruban 12 Year Old ซึ่งได้บ่มเพิ่มอีก 2 ปี และมีปริมาณแอลกอฮอล์ถึง 46% ซึ่งกลิ่นที่ปรากฏออกมานั้นจะเป็นกลิ่นดาร์คช็อกโกแลต ส้มเขียวหวาน และส้มเซบียาที่คลุมเคล้ากับ ไม้จันทน์และวอลนัท ซึ่งยังเป็นรสชาติที่จะปรากฏขึ้นเพื่อทำให้ละมุนไปได้ทั่วทั้งปาก

 

 

 

Glenmorangie 19 YO

Glenmorangie 19 Year Old วิสกี้ 19 ปี วิสกี้ละมุนลิ้นชั้นดีจาก Glenmorangie

      Glenmorangie เป็นคำที่มาจากภาษาเกลิกซึ่งแปลว่า “หุบเขาแห่งความสงัด” อันเป็นชื่อของโรงกลั่นที่ตั้งอยู่ในสกอตแลนด์ โดยมีที่มาจากบรรยากาศอันแสนเงียบสงบ โดยเริ่มก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1843 โดย William Matheson ซึ่งใน Glenmorangie นั้น ก็มีกรรมวิธีในการทำวิสกี้ที่พิเศษตั้งแต่ขั้นตอนการกลั่นไปจนถึงการหมักที่จะใช้ถังไม้โอ๊คที่สั่งทำพิเศษขึ้นมาจากสหรัฐอเมริกา นั่นจึงทำให้วิสกี้ของที่นี้มีเอกลักษณ์อย่างมาก ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ Glenmorangie 19 Year Old

       Glenmorangie 19 Year Old เป็นวิสกี้ที่วางจำหน่ายในปี ค.ศ. 2017 ซึ่งเป็นวิสกี้ที่มีอายุยาวนานถึง 19 ปี โดยใช้การหมักอย่างช้า ๆ ซึ่งวิสกี้ตัวนี้มีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ถึง 43% และเอกลักษณ์ที่ปรากฏขึ้นในวิสกี้ตัวนี้ก็คือ กลิ่นสมุนไพร ทั้งกลิ่นจากมิ้นท์ ใบยูคาลิปตัส เนื้อของส้มไซตรัส และน้ำตาลอ้อย และเพิ่มเติมจากกลิ่นของลูกพีช วานิลลา และครีมที่จะเพิ่มความหวานเข้าไป อีกทั้งรสชาติของมันยังนุ่มละมุนลิ้นไปด้วยรสผลไม้ต่าง ๆ ที่ถูกผสมลงไปตั้งแต่ แอปเปิ้ล ลูกแพร์ เนื้อส้ม และเอพริคอตที่ถูกอบแห้งมาอย่างดี นั่นจึงทำให้วิสดี้ตัวนี้มีความพิเศษอย่างยิ่งเลยทีเดียว

 

 

Craigellachie 13 Year Old

Craigellachie โรงกลั่นวิสกี้ชั้นนำแห่ง Speyside

      สกอตแลนด์ เป็นดินแดนที่อยู่ในสหราชอาณาจักร โดยสกอตแลนด์นั้น เป็นดินแดนที่มีความเป็นมาและประวัติศาสตร์ที่สำคัญอย่างหนึ่งในประวัติศาสตร์สกอตแลนด์ ประวัติศาสตร์อังกฤษและประวัติศาสตร์สากล และยังเป็นแหล่งที่มีวัฒนธรรมและประเพณีอย่างมากมาย ซึ่งนั่นจึงทำให้สกอตแลนด์มีมรดกทางวัฒนธรรมที่ปรากฏขึ้นอยู่มากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ “วิสกี้” อันเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่อยู่ในประเภทกลั่น ซึ่งปัจจุบันไม่สามารถค้นหาได้ว่ามีต้นกำเนิดมาจากที่ไหน แต่สำหรับความนิยมนั้น วิสกี้ถือว่าได้รับความนิยมอย่างมากในสกอตแลนด์, ไอร์แลนด์ หรือ ตะวันออกกลาง ซึ่งในสกอตแลนด์นั้น ความนิยมของวิสกี้ ซึ่งมีวิสกี้ยอดนิยมอยู่หลายชนิด โดยวิสกี้ประเภทหนึ่งที่ยอดนิยมคือ “ซิงเกิ้ล มอลต์ สก็อตช์ วิสกี้” อันเป็นวิสกี้หมักและกลั่นจากมอลต์ของข้าวบาร์เลย์ และต้องกลั่นจากโรงกลั่นเดียวเท่านั้น ซึ่งต้องห้ามนำของจากโรงกลั่นอื่นมาผสมโดยเด็ดขาด เพื่อที่จะสงวนกลิ่นรสของข้าวมอลต์เอาไว้ให้ดีที่สุด และต้องบ่มในถังไม้โอ๊คอย่างน้อย 3 ปี ซึ่งใน    สกอตแลนด์นั้น มีโรงกลั่นวิสกี้ประเภทนี้อยู่มากมาย หนึ่งในนั้นก็คือ Craigellachie

       Craigellachie เป็นโรงกลั่นใน Speyside อันเป็นภูมิภาคหนึ่งในสกอตแลนด์ในปี ค.ศ. 1891 โดย Alexander Edward ซึ่งต่อมาสถานที่แห่งนี้ได้ถูกเปลี่ยนมือเจ้าของอยู่มากมายหลายแห่ง ซึ่งในระหว่างนี้ก็มีการออกแบบและวางจำหน่ายวิสกี้อยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่เป็นที่รู้จักมากนัก จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1998 โรงกลั่นแห่งนี้ได้ถูกขายให้กับ John Dewar & Sons ซึ่งภายใต้การดูแลของ John Dewar & Sons ได้มีการผลิตวิสกี้หลายรูปแบบออกมามากมาย จนกระทั่งในปี ค.ศ. 2014 ซึ่งหนึ่งในนั้นที่มีการผลิตออกมาคือ Craigellachie 13 Year Old

       Craigellachie 13 Year Old เป็นวิสกี้ที่ถูกผลิตขึ้นจากโรงกลั่น Craigellachie ภายใต้การดูแลของ John Dewar & Sons มีราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 42 ปอนด์ หรือ 1,891 บาท ซึ่งถือว่าไม่แพงมากเมื่อนำไปเทียบกับวิสกี้อื่น ๆ ทีการบรรจุปริมาณแอลกอฮอล์โดยปริมาตรถึง 46% รวมไปถึงการออกแบบตัวอักษรบนฉลากให้เหมือนกับอักษรสมัยวิคตอเรียนอันแสนสวยงามและน่ารัก และเมื่อพูดถึงน้ำวิสกี้ที่บรรจุอยู่ขวดนั้น ก็เรียกได้ว่ามีกลิ่นหอมใช้ได้ ตั้งแต่กลิ่นลูกแพร์อ่อน ๆ ครีมวานิลลา และตามไปถึงเครื่องเทศ ออกเผ็ดเล็กน้อย และมีกลิ่นครีมอ่อน ๆ ที่จะแสดงออกผ่านลิ้นที่ได้สัมผัสน้ำวิสกี้จนทำให้ละมุนไปทั่วปาก

       และนี่คือความพิเศษของโรงกลั่น Craigellachie ที่แสดงให้ชาวโลกได้เห็นถึงศักยภาพที่แสดงให้เห็นมากขึ้นผ่านยุคสมัยที่แตกต่างกันออกไป จนกระทั่งในช่วงหลังปี ค.ศ. 1998 ถึงได้เริ่มมีการออกแบบและวางจำหน่ายวิสกี้ที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น และหนึ่งในนั้นคือ Craigellachie 13 Year Old ซึ่งมีคุณภาพและคุณสมบัติของวิสกี้ชั้นดีเมื่อเทียบกับวิสกี้แบบอื่น ๆ แล้ว โดยเฉพาะกลิ่นที่ส่งกลิ่นหอมและละมุนผ่านปลายลิ้นไป ก็ยิ่งเป็นเครื่องการันตีถึงความดีงามของมันที่ได้ผลิตออกมา

 

Aultmore 12 Year Old

Aultmore โรงกลั่นวิสกี้รสดีแห่งดินแดนสกอตแลนด์

หากเราจะกล่าวถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประเภทหนึ่งซึ่งเป็นประเภทแรกที่ถือกำเนิดมาบนโลกใบนี้ ก็คงจะไม่พูดถึงเครื่องดื่มประเภทกลั่นไม่ได้ เพราะในสมัยก่อนนั้น ผู้คนมักนิยมในการที่จะนำธัญพืชมากลั่นเพื่อให้เกิดน้ำประเภทหนึ่งซึ่งจะช่วยทำให้พวกเขาผ่อนคลายหลังจากที่พวกเขาต้องทำงานตรากตรำเป็นวันเป็นเดือนเป็นปี ซึ่งเครื่องดื่มดังกล่าวนั้นถูกเรียกว่า “สุรา” อันเป็นเครื่องดื่มประเภทกลั่นที่ถูกผลิตออกมาได้อย่างแพร่หลายในทั่วโลก ด้วยวัตถุดิบที่หาง่าย และการตลาดที่สามารถขยายไปได้อย่างทั่วถึง นั่นจึงทำให้ทุก ๆ ที่สามารถผลิตได้ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ “วิสกี้” อันเป็นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่อยู่ในประเภทกลั่น ซึ่งปัจจุบันไม่สามารถค้นหาได้ว่ามีต้นกำเนิดมาจากที่ไหน แต่สำหรับความนิยมนั้น วิสกี้ถือว่าได้รับความนิยมอย่างมากในสกอตแลนด์, ไอร์แลนด์ หรือ ตะวันออกกลาง ซึ่งในสกอตแลนด์นั้น ความนิยมของวิสกี้ ซึ่งมีวิสกี้ยอดนิยมอยู่หลายชนิด โดยวิสกี้ประเภทหนึ่งที่ยอดนิยมคือ “ซิงเกิ้ล มอลต์ สก็อตช์ วิสกี้” อันเป็นวิสกี้หมักและกลั่นจากมอลต์ของข้าวบาร์เลย์ และต้องกลั่นจากโรงกลั่นเดียวเท่านั้น ซึ่งต้องห้ามนำของจากโรงกลั่นอื่นมาผสมโดยเด็ดขาด เพื่อที่จะสงวนกลิ่นรสของข้าวมอลต์เอาไว้ให้ดีที่สุด และต้องบ่มในถังไม้โอ๊คอย่างน้อย 3 ปี ซึ่งใน    สกอตแลนด์นั้น มีโรงกลั่นวิสกี้ประเภทนี้อยู่มากมาย หนึ่งในนั้นก็คือ Aultmore

       Aultmore เป็นโรงกลั่นวิสกี้ในภูมิภาค Speyside ซึ่งอยู่ในที่ราบสูงของสกอตแลนด์ โดยก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1895 โดย Alexander Edward ซึ่งแต่เดิมโรงกลั่นนี้จะใช้กังหันน้ำในการขับเคลื่อนพลังงาน แต่ในปัจจุบันจะใช้เครื่องจักรไอน้ำแทน จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1899 โรงกลั่นแห่งนี้อยู่ภายใต้การดูแลของ Pattisons ซึ่งเกิดล้มละลายในปีนั้นเหมือนกัน ก่อนที่จะเปิดใหม่อีกครั้งในปี ค.ศ. 1904 แต่ก็ต้องปิดใหม่อีกครั้งหลังจากที่ข้าวบาร์เลย์เกิดขาดแคลน และเปิดอีกครั้งในปี ค.ศ. 1923 ซึ่งหลังจากนั้นโรงกลั่นแห่งนี้ก็ถูกเปลี่ยนมือไปอยู่หลายครั้ง จนกระทั่งในปี ค.ศ. 2004 โรงกลั่น Aultmore แห่งนี้ได้ผลิตวิสกี้ซึ่งขึ้นชื่อว่า เป็นวิสกี้ที่หายากที่สุดใน Speyside นั่นก็คือ Aultmore 12 year old อันเป็นวิสกี้ที่มีกลิ่นหอมของแอปเปิ้ล ลูกแพร์ รวมกับกลิ่นวานิลลา และยังคงกลิ่นวานิลลาที่อบอวลไปด้วยเครื่องเทศที่ละมุนไปทั่วเพดานปาก นั่นจึงทำให้มันเป็นวิสกี้ที่มีความ “คลาสสิคใหม่” ในยุคปัจจุบัน

       ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่า โรงกลั่น Aultmore เป็นโรงกลั่นที่มีความสำคัญอย่างมากในภูมิภาค Speyside โดยเฉพาะในการสร้างซิงเกิ้ล มอลต์ สก็อตช์ วิสกี้ ซึ่งมีคุณค่าอย่างมาก ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ Aultmore 12 year old ซึ่งเป็นผลผลิตที่โด่งดังของโรงกลั่น Aultmore และด้วยเอกลักษณ์ที่เป็นแบบเฉพาะและทรงคุณค่า จึงทำให้มันกลายเป็นวิสกี้ยอดนิยมในยุคปัจจุบัน

Sena Viña Seña

Sena Viña Seña ไวน์ชั้นดีจากอเมริกาใต้

       จากการประสบความสำเร็จของไวน์ที่ผลิตขึ้นในทวีปยุโรป ได้สร้างรายได้จากธุรกิจไวน์อย่างล้นหลามและมากมาย โดยเฉพาะในฝรั่งเศสที่ได้สร้างความสำเร็จและความนิยมอย่างสูงด้วย และนั่นจึงทำให้ความสำเร็จนี้ได้ถูกถ่ายทอดยังประเทศต่าง ๆ มากมาย รวมไปถึงในดินแดนอเมริกาใต้ด้วย ซึ่งอิทธิพลของการผลิตองุ่นเพื่อทำไวน์นั้นเริ่มมีมากขึ้นหลังจากที่มีชาวยุโรปมากมายเดินทางไปยังดินแดนแห่งนี้ นั่นจึงทำให้เราได้เห็นสายพันธุ์องุ่นมากมายที่เป็นสายพันธุ์ซึ่งมีที่มาจากฝั่งยุโรปและกำเนิดในอเมริกาใต้โดยเฉพาะ ซึ่งในการผลิตไวน์ในอเมริกาใต้นั้น หาใช่เพื่อแค่ผลิตมาดื่มเล่นอย่างเดียว หากแต่ผลิตเอาไว้เพื่อทำการค้าส่งออกอีกด้วย โดยมีประเทศที่เป็นแหล่งส่งออกไวน์เป็นหลัก ๆ คือประเทศชิลี ซึ่งประเทศแห่งนี้ได้มีการผลิตไวน์ขึ้นหลังจากที่ประเทศดังกล่าวได้กลายเป็นอาณานิคมของสเปน และนักบวชชาวสเปนได้เริ่มนำไวน์เข้ามาผลิตเพื่อนำมันมาประกอบพิธีทางศาสนาคริสต์ ซึ่งแน่นอนว่านอกจากองุ่นและไวน์ของสเปนแล้ว ก็ยังมีสายพันธุ์องุ่นจากฝรั่งเศส อิตาลี เข้าไปในชิลีอีก จึงส่งผลทำให้เขตปลูกองุ่นที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในทวีปอเมริกาใต้ และหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่เป็นไวน์ที่สำคัญอย่างมากของประเทศชิลีคือ Sena Viña Seña

       Sena Viña Seña เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1995 โดย Eduardo Chadwick ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัท Viña Errazuriz และ Robert Mondavi นักทำไวน์ชาวอเมริกัน ซึ่ง Eduardo Chadwick นั้นมีความตั้งใจที่จะทำให้ชิลีกลายเป็นไอคอนอย่างหนึ่งของประเทศ ซึ่งไวน์ชนิดนี้ในยุคแรกเริ่มนั้น ได้ถูกสร้างขึ้นจากองุ่นถึง 6 สายพันธุ์ผสมผสานกันคือ กาแบร์เนโซวีญง, แมร์โล, กาแบร์เน-ฟรอง, มาลเบค และ Petit Verdot ซึ่งเป็นองุ่นสายพันธุ์จากฝรั่งเศส และอีก 2 สายพันธุ์ซึ่งปลุกที่ชิลีเองคือ คาเมแมร์ ซึ่งจริง ๆ มีต้นกำเนิดมาจากฝรั่งเศส ซึ่งสำหรับผู้ที่นิยมไวน์นั้น จะเรียกสายพันธุ์องุ่นประเภทนี้ว่าเป็นสายพันธุ์ที่สาบสูญ เพราะในฝรั่งเศสนั้น ถือว่าสายพันธุ์นี้หายากมาก และถึงกับเคยคิดว่าหายสาบสูญไปแล้ว

       หลังจากนั้น Sena Viña Seña ได้กลายเป็นไวน์ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยได้การจัดสินจากผู้เชี่ยวชาญนานาชาติด้านไวน์ถึง 36 คน ในปี ค.ศ. 2004 ซึ่งนั่นจึงถือได้ว่า Sena Viña Seña ประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง พอ ๆ กับการชิลีได้เป็นประเทศที่ขึ้นชื่อในเรื่องการส่งออกไวน์ด้วยเช่นกัน นั่นจึงเท่ากับว่า Sena Viña Seña สอบผ่านในสายตาของนานาประเทศ โดยเฉพาะกับผู้คนที่นิยมชมชอบในไวน์

      

Ornellaia Le Serre Nuove

Ornellaia บริษัทไวน์ชั้นนำที่น่าสนใจแห่งอิตาลี

       ว่าด้วยดินแดนที่มีการกล่าถึงอารยธรรมและวัฒนธรรมอันเก่าแก่ที่แสนงดงามและมีคุณค่าต่อการเรียนรู้นั้น เราก็คงจะนึกถึงอยู่หลากหลายสถานที่ รวมไปถึงในดินแดนอิตาลี ซึ่งมีวัฒนธรรมอันแสนน่ารู้และมีความน่าสนใจอย่างเช่น วัฒนธรรมการกิน วัฒนธรรมในวิถีชีวิต รวมไปถึงวัฒนธรรมของไวน์ด้วย ซึ่งการผลิตไวน์ในอิตาลีนั้น ได้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ในอารยธรรมกรีกโบราณ ซึ่งเป็นช่วง 800 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งจากการขุดค้นพบทางโบราณคดีล่าสุด กลับพบว่ามีการปลูกองุ่น ณ ที่แห่งนี้มาก่อนถึง 3,000 ปีเลยทีเดียว จนกระทั่งเมื่ออารยธรรมโรมันได้มีอำนาจขึ้นเหนือกว่าอารยธรรมกรีก ได้มีการขยายอำนาจมากขึ้นและเข้าควบคุมพื้นที่ไร่องุ่นมากมายหลังจากนั้น และทำให้ดินแดนแถบนั้นกลายเป็นอาณาจักรขององุ่นและแหล่งผลิตไวน์ที่มากมาย และต่อมาความนิยมของไวน์อิตาลีเริ่มมีมากขึ้น จนได้มีการผลิตเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า จนกระทั่งในช่วงปี 1900 ถึง 2000 คุณภาพของไวน์ฝรั่งเศสเริ่มเสื่อมคุณภาพลง เพราะปริมาณที่มากเกินไป จนทำให้ทางรัฐบาลของอิตาลีจำเป็นที่จะต้องเข้ามาแทรกแซงในการผลิตปริมาณ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบฝรั่งเศสขึ้น จนนำมาสู่ไวน์อิตาลีในรูปแบบปัจจุบันในที่สุด ซึ่งด้วยสาเหตุที่ทำให้ไวน์อิตาลีมีชื่อเสียงโด่งดังนั้น นอกจากความรุ่งเรืองของอารยธรรมโรมันแล้วนั้น ก็ยังเป็นภูมิประเทศที่เหมาะสม นั่นก็คือ สภาพพื้นดินที่มีความหลากหลาย จนทำให้ประเทศนี้สามารถผลิตไวน์ได้มากที่สุดในโลก และหนึ่งในบริษัทที่มีความสำคัญอย่างมากต่อวงการไวน์ก็คือ Ornellaia

       Ornellaia เป็นบริษัทที่ก่อตั้งโดย Marchese Lodovico Antinori ของครอบครัว Antinori ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัท Marchesi Antinori Srl ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทที่ค้าขายไวน์มาอย่างยาวนานและถือว่าเป็นบริษัทที่เก่าแก่อย่างมากในอิตาลี ซึ่งไร่องุ่นแห่งนี้ได้ถูกจัดตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1981 และเริ่มผลิตองุ่นในปี ค.ศ. 1985 รวมไปถึงการสร้างโรงกลั่นไวน์ขึ้นในปี ค.ศ. 1987 ซึ่งตั้งแต่นั้นมาทำให้พื้นที่ทั้งหมดของบริษัทนี้มีถึง  568.75 ไร่ ซึ่งพื้นที่ซึ่งเป็นไร่นี้ มีชนิดของพันธุ์องุ่นหลากหลายชนิดตั้งแต่ กาแบร์เนโซวีญง, กาแบร์เน-ฟรอง, แมร์โล, Petit Verdot, โซวีญงบล็อง, วิโอเญียร์ และ Petit Manseng และนี่จึงทำให้ Ornellaia ได้ถูกเรียกว่า “Super Tuscans” ซึ่งเป็นคำเรียกอย่างไม่เป็นทางการของไวน์ในแคว้นตอสคานา และ Ornellaia นี้ ยังได้ผลิตยี่ห้อไวน์ออกมาถึง 2 ยี่ห้อ โดยยี่ห้อล่าสุดที่มีการผลิตออกมาในปี ค.ศ. 1997 คือ Ornellaia Le Serre Nuove ซึ่งเป็นไวน์สีแดงทับทิม ที่มีกลิ่นหอมของแบล็กเบอร์รี่และพลัม ซึ่งไวน์ดังกล่าวนี้ต้องใช้เวลาบ่มเพาะถึง 12 เดือน เลยทีเดียว

       ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่า Ornellaia เป็นบริษัทชั้นนำที่มีความสำคัญอย่างมากในวงการไวน์ของอิตาลี ด้วยความเก่าแก่ซึ่งส่งผลทำให้อิทธิพลต่อวงการไวน์ในอิตาลีอย่างยาวนาน จึงทำให้ประสบการณ์ของการค้าขายและการทำไวน์มีความพิถีพิถันอย่างมาก ซึ่งนั่นจึงส่งผลให้ผลผลิตจาก Ornellaia มีความสดใหม่และน่าสนใจอย่างยิ่งในวงการไวน์ของอิตาลี

Les Griffons de Pichon Baron

Les Griffons de Pichon Baron ไวน์ชั้นดีที่มีความสำคัญแห่งบอร์โดซ์

        ความเก่าแก่ของไวน์ในทวีปยุโรปได้รับการพูดถึงกันมาอย่างยาวนาน เพราะถือว่าเป็นดินแดนที่มีการปลูกองุ่นไว้อย่างมากมาย โดยเฉพาะไวน์ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นประเภทของไวน์ที่มีชื่อเสียงอย่างมาก ซึ่งมีประวัติ     ความเป็นมานับตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ จึงถือได้ว่าไวน์ฝรั่งเศสเป็นไวน์ที่อายุยืนยาวมานานนับพันปี และในตอนที่มีการมาถึงของศาสนาคริสต์ ก็ยังถือได้ว่าไวน์เป็นส่วนประกอบที่สำคัญอย่างมากในการประกอบพิธี ซึ่งนั่นจึงทำให้ในยุคกลาง มีพระสงฆ์ได้ปลูกองุ่นขึ้นและยังมีความรู้ในด้านการผลิตไวน์ รวมไปถึงในกลุ่มขุนนางด้วยเช่นกัน ซึ่งในฝรั่งเศสนั้นมีการปรากฏชนิดไวน์ที่มีชื่อเสียงอยู่ในหลาย ๆ ภูมิภาคไวน์ที่อยู่ในฝรั่งเศส หนึ่งในนั้นคือ แคว้นบอร์โดซ์ ซึ่งมีการผลิตไวน์ชั้นดี โดยเฉพาะไวน์แดง รวมไปถึงทั้งสภาพทางภูมิศาสตร์ที่เอื้ออำนวยในการทำไวน์ ตั้งแต่เรื่องสภาพดิน ภูมิอากาศที่ไม่ร้อนจนเกินไป นั่นจึงทำให้ในเขตภูมิภาคนี้เป็นดินแดนของไวน์ชั้นดีของฝรั่งเศส และหนึ่งในไวน์ที่มีการกำเนิดขึ้นคือ Les Griffons de Pichon Baron

       Les Griffons de Pichon Baron เป็นไวน์ประเภทที่ 2 ที่ถือกำเนิดขึ้นโดย Château Pichon Baron ซึ่งเป็นขุนนางที่มีชื่อเสียงในเรื่องของการทำไวน์มา 30 ปี ซึ่งหลังจากนั้นได้มีสานต่อธุรกิจให้มีความยิ่งใหญ่มากขึ้นหลังจากการแต่งงานของ Therese ลูกสาวของ Château Pichon Baron และ Jacques de Pichon Longueville ประธานาธิบดีคนแรกของรัฐสภาบอร์โดซ์ จนนำไปสู่การก่อตั้ง Chateau Pichon Longueville Baron อย่างเป็นทางการ นั่นจึงทำให้ไวน์ที่ถูกผลิตจากที่แห่งนี้ รวมไปถึง Les Griffons de Pichon Baron ได้กลายเป็นไวน์ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่นิยมอย่างมากในบอร์โดซ์

       ซึ่งไวน์ดังกล่าวนี้ ได้ใช้การผสมผสานระหว่างองุ่นพันธุ์แมร์โลและพันธุ์กาแบร์เนโซวีญง ซึ่งส่งผลทำให้เกิดกลิ่นหอม และถูกจัดเก็บในอุณหภูมิ 15.5 องศาเซลเซียส 60 องศาฟาเรนไฮต์ ซึ่งไวน์ดังกล่าวนี้ อาจจะดื่มได้ยากไปหน่อย และยังเป็นไวน์ที่มีความสดใหม่ สมกับฉายา “mini Pichon” อย่างแท้จริง

Fattoria Dei Barbi Brunello Di Montalcino

Fattoria Dei Barbi Brunello Di Montalcino ไวน์ยอดนิยมแห่งดินแดนอิตาลี

       เมื่อเราจะพูดถึงประเทศอิตาลี เราคงจะนึกถึงวัฒนธรรมโรมันโบราณ หอเอนปิซา พิซซ่า สถาปัตยกรรมของทางโรมันโบราณและคริสต์ศาสนามากมาย รวมไปถึงเรื่องราวของไวน์ด้วย ซึ่งการผลิตไวน์ในอิตาลีนั้น ได้เกิดขึ้นมาตั้งแต่ในอารยธรรมกรีกโบราณ ซึ่งเป็นช่วง 800 ปีก่อนคริสตกาล แต่จากการขุดค้นพบทางโบราณคดีล่าสุด กลับพบว่ามีการปลูกองุ่น ณ ที่แห่งนี้มาก่อนถึง 3,000 ปีเลยทีเดียว จนกระทั่งเมื่ออารยธรรมโรมันได้มีอำนาจขึ้นเหนือกว่าอารยธรรมกรีก ได้มีการขยายอำนาจมากขึ้นและเข้าควบคุมพื้นที่ไร่องุ่นมากมายหลังจากนั้น และทำให้ดินแดนแถบนั้นกลายเป็นอาณาจักรขององุ่นและแหล่งผลิตไวน์ที่มากมาย และต่อมาความนิยมของไวน์อิตาลีเริ่มมีมากขึ้น จนได้มีการผลิตเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า จนกระทั่งในช่วงปี 1900 ถึง 2000 คุณภาพของไวน์ฝรั่งเศสเริ่มเสื่อมคุณภาพลง เพราะปริมาณที่มากเกินไป จนทำให้ทางรัฐบาลของอิตาลีจำเป็นที่จะต้องเข้ามาแทรกแซงในการผลิตปริมาณ เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบฝรั่งเศสขึ้น จนนำมาสู่ไวน์อิตาลีในรูปแบบปัจจุบันในที่สุด ซึ่งด้วยสาเหตุที่ทำให้ไวน์อิตาลีมีชื่อเสียงโด่งดังนั้น นอกจากความรุ่งเรืองของอารยธรรมโรมันแล้วนั้น ก็ยังเป็นภูมิประเทศที่เหมาะสม นั่นก็คือ สภาพพื้นดินที่มีความหลากหลาย จนทำให้ประเทศนี้สามารถผลิตไวน์ได้มากที่สุดในโลก และผลผลิตไวน์ที่มีความสำคัญอย่างมากในอิตาลีอย่างหนึ่ง คือ Fattoria Dei Barbi Brunello Di Montalcino

       Fattoria Dei Barbi คือชื่อบริษัทของครอบครัว Colombini ซึ่งเป็นครอบครัวทรงอิทธิพลใน ตำบลมองตาลชิโน โดยบริษัทนี้ได้เริ่มก่อตั้งขึ้นในศตวรรษที่ 18 โดยมีพื้นที่ทั้งหมด 2,187 ไร่ และมีไร่องุ่นอยู่ทางตอนใต้ของแคว้นตอสคานา ซึ่งบริษัทนี้ได้เริ่มมีการผลิต Brunello Di Montalcino อันเป็นไวน์สีแดงทับทิมที่ผลิตมาจากองุ่นสายพันธุ์ซานโจเวเซ่ ซึ่งไวน์ประเภทนี้ถือว่าเป็นไวน์ขึ้นชื่ออย่างมากในตำบลมองตาลชิโน แคว้นตอสคานา จนได้ชื่อว่า “ราชันย์ไวน์แดงจากอิตาลี” โดยในปัจจุบันนี้ บริษัทแห่งนี้อยู่ภายใต้การดูแลของบริษัท Stefano Cinelli Colombini เพื่อผลิตไวน์ชั้นดีออกมาเพื่อทำการค้าขายส่งออกทั้งในและนอกประเทศ และนี่จึงเป็นความสำคัญของผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงอย่างมากต่อประเทศอิตาลีอย่าง Fattoria Dei Barbi Brunello Di Montalcino นั่นเอง

       ดังนั้น เราจึงจะเห็นได้ว่า Fattoria Dei Barbi Brunello Di Montalcino นั้น มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจต่อประเทศอิตาลีมากมายขนาดนั้น ซึ่งนั่นจึงส่งผลทำให้ไวน์ชนิดนี้เป็นที่นิยมและเป็นผลิตภัณฑ์ชิ้นสำคัญที่ใช้ในการผลิตเพื่อส่งออกและค้าขายทั้งในและนอกประเทศอย่างมากมายและล้นหลาม ซึ่งนี่เป็นผลสะท้อนของการผลิตไวน์ที่ดีและยอดเยี่ยม อันนำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองต่อธุรกิจไวน์ในอิตาลีอย่างมาก

Chateau Trotte Vieille

Chateau Trotte Vieille ไวน์เก่าแก่แห่งเมืองแซ็งเตมีลียง

       นับตั้งแต่ยุคสมัยโบราณ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นสิ่งที่มีการกำเนิดเกิดขึ้นมาพร้อมกับการพัฒนาการของมนุษย์ รวมไปถึงการกำเนิดของไวน์ด้วย ซึ่งการกำเนิดของไวน์นี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในทวีปยุโรป เพราะถือว่าเป็นดินแดนที่มีการปลูกองุ่นไว้อย่างมากมาย โดยเฉพาะไวน์ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นประเภทของไวน์ที่มีชื่อเสียงอย่างมาก ซึ่งมีประวัติความเป็นมานับตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ จึงถือได้ว่าเป็นไวน์ที่อายุยืนยาวมานานนับพันปี แม้แต่ในศาสนาคริสต์เอง ก็ยังถือได้ว่าไวน์เป็นส่วนประกอบที่สำคัญอย่างมากในการประกอบพิธี ซึ่งนั่นจึงทำให้ในยุคกลาง มีพระสงฆ์ได้ปลูกองุ่นขึ้นและยังมีความรู้ในด้านการผลิตไวน์ รวมไปถึงในกลุ่มขุนนางด้วยเช่นกัน ซึ่งในฝรั่งเศสนั้นมีการปรากฏชนิดไวน์ที่มีชื่อเสียงอยู่ในหลาย ๆ ภูมิภาคไวน์ที่อยู่ในฝรั่งเศส หนึ่งในนั้นคือ แคว้นบอร์โดซ์ ซึ่งมีการผลิตไวน์ชั้นดี โดยเฉพาะไวน์แดง รวมไปถึงทั้งสภาพทางภูมิศาสตร์ที่เอื้ออำนวยในการทำไวน์ ตั้งแต่เรื่องสภาพดิน ภูมิอากาศที่ไม่ร้อนจนเกินไป นั่นจึงทำให้ในเขตภูมิภาคนี้เป็นดินแดนของไวน์ชั้นดีของฝรั่งเศส ซึ่งเมืองที่เรียกได้ว่าเป็นแหล่งที่มีการกำเนิดของไวน์ต่าง ๆ นา ๆ ชนิด คือเมืองแซ็งเตมีลียง และหนึ่งในสถานที่ที่มีการผลิตภัณฑ์ไวน์ที่เกิดขึ้นคือ Chateau Trotte Vieille

       Chateau Trotte Vieille เป็นสถานที่เก่าแก่ที่เกิดขึ้นในเมืองแซ็งเตมีลียง ที่มีการระบุว่าได้ถูกก่อตั้งในปี ค.ศ. 1453 จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1949 Marcel Borie หัวหน้าบริษัท Borie-Manoux ได้เข้าซื้อที่ดินดังกล่าวนี้เพื่อเอาไปให้ Emile Castéja ลูกเขยของเขาเอง ซึ่งครอบครัว Castéja นี้ ถือว่าเป็นครอบครัวที่เป็นเจ้าของ ไร่องุ่นจำนวนมากในบอร์โดซ์นี่เอง

       ด้วยพื้นที่ทั้งหมด 33 เฮกตาร์หรือ 206 ไร่ของสถานที่ดังกล่าวนี้ ได้มีการปลูกองุ่นหลากหลายพันธุ์ตั้งแต่ แมร์โลถึง 50% กาแบร์เน-ฟรองถึง 46% และกาแบร์เนโซวีญงถึง 4% ซึ่งไร่แห่งนี้มีเถาองุ่นที่มีอายุเฉลี่ยถึง  50 ปี โดยมีอายุเก่าแก่ที่สุดคือ 150 ปีเลยทีเดียว และนั่นจึงทำให้ก่อเกิดไวน์ที่มีชื่อเดียวกันกับสถานที่ก็คือ Chateau Trotte Vieille นั่นเอง ซึ่งไวน์ชนิดนี้มีอายุอย่างน้อย 7-9 ปี โดยควรจะรินก่อน 1-2 ชั่วโมง และควรเก็บไว้ในอุณหภูมิ 15.5 องศาเซลเซียส 60 องศาฟาเรนไฮต์ ซึ่งจะทำให้ไวน์ดังกล่าวมีความสดใหม่อย่างยิ่ง