Léoville Las Cases, St Julien

Léoville Las Cases ไวน์ชั้นดี จากที่ดินอันเลอค่าในบอร์โดซ์

          ขึ้นชื่อว่า “ไวน์” ที่มีชื่อเสียงและปรากฏในยุโรปแล้วนั้น ก็มีอยู่หลากหลายประเภทหรือชนิดนั้น ไวน์ฝรั่งเศส เป็นไวน์ที่มีการกล่าวถึงมาอย่างยาวนานและเป็นประเภทของไวน์ที่มีชื่อเสียงอย่างมาก และมีประวัติความเป็นมานับตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ จึงถือได้ว่าไวน์ฝรั่งเศสเป็นไวน์ที่อายุยืนยาวมานานนับพันปีในแถบเมดิเตอร์เรเนียน จนกระทั่งการมาถึงของศาสนาคริสต์ ซึ่งถือได้ว่าไวน์เป็นส่วนประกอบที่สำคัญอย่างมากในการประกอบพิธี ซึ่งนั่นจึงทำให้ในยุคกลาง มีพระสงฆ์ได้ปลูกองุ่นขึ้นและยังมีความรู้ในด้านการผลิตไวน์ รวมไปถึงในกลุ่มขุนนางด้วยเช่นกัน ซึ่งในฝรั่งเศสนั้นมีการปรากฏชนิดไวน์ที่มีชื่อเสียงอยู่ในหลาย ๆ ภูมิภาคไวน์ที่อยู่ในฝรั่งเศส หนึ่งในนั้นคือ แคว้นบอร์โดซ์ ซึ่งมีการผลิตไวน์ชั้นดี โดยเฉพาะไวน์แดง รวมไปถึงทั้งสภาพทางภูมิศาสตร์ที่เอื้ออำนวยในการทำไวน์ ตั้งแต่เรื่องสภาพดิน ภูมิอากาศที่ไม่ร้อนจนเกินไป นั่นจึงทำให้ในเขตภูมิภาคนี้เป็นดินแดนของไวน์ชั้นดีของฝรั่งเศส และสถานที่แห่งนี้ยังมีไวน์ชนิดหนึ่งคือ Léoville Las Cases

          Léoville Las Cases มีที่มาจากสถานที่แห่งหนึ่ง นั่นก็คือ Chateau Leoville Las ซึ่งที่ดินแห่งนี้นั้น เคยเป็นทรัพย์สินของมหาเศรษฐีผู้มั่งคั่งคนหนึ่งในฝรั่งเศสเลยทีเดียว และต่อมามันก็ได้ตกเป็นของตระกูล Lascases ซึ่งหลังจากนั้นสถานที่แห่งนี้ก็ได้ถูกส่งต่อจากหลาย ๆ เจ้าของมาเป็นเวลายาวนาน มาพร้อม ๆ กับการบริหารงานผลิตไวน์ด้วย จนกระทั่งมาถึงในตอนท้ายของศตวรรษที่ 19 ครอบครัว Delon ก็ได้รับสถานที่แห่งนี้มาเป็นทรัพย์สินของครอบครัวตน จึงถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจไวน์ภายใต้การดูแลของครอบครัว Delon ซึ่งก็ได้บริหารกิจการมาจนถึงในปี ค.ศ. 2000 Jean Hubert Delon ทายาทของครอบครัวนี้ก็ได้มาเข้ารับตำแหน่งในการจัดการทรัพย์สินและได้เพิ่มคุณภาพของไวน์ที่นี่อย่างต่อเนื่อง จนทำให้ไวน์จากที่แห่งนี้ได้รับการพัฒนาที่ดียิ่งขึ้นนั่นเอง

          Léoville Las Cases นั้น จะมีรสชาติดีก็ต่อเมื่ออยู่ที่ 15 ปี โดยควรรินไว้ก่อนสัก 3-6 ชั่วโมง เพื่อทำให้ไวน์นุ่มและส่งกลิ่นหอม และควรเก็บรักษาในอุณหภูมิ 15.5 องศาเซลเซียส 60 องศาฟาเรนไฮต์ เพื่อทำให้ไวน์นั้นสดใหม่และอร่อยลิ้นนั่นเอง

 

 

 

Léoville Barton, St Julien

Léoville Barton ไวน์คลาสสิคแสนวิเศษจากบอร์โดซ์

          ความเก่าแก่ที่ยังคงความคลาสสิคของประวัติศาสตร์ของไวน์โบราณที่ปรากฏในทวีปยุโรป โดยเฉพาะในไวน์ฝรั่งเศสที่เป็นประเภทของไวน์ที่มีชื่อเสียงอย่างมาก และมีประวัติความเป็นมานับตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ จึงถือได้ว่าไวน์ฝรั่งเศสเป็นไวน์ที่อายุยืนยาวมานานนับพันปี รวมไปถึงการมาถึงของศาสนาคริสต์ ที่ส่งผลทำให้ในยุคกลาง มีพระสงฆ์ได้ปลูกองุ่นขึ้นและยังมีความรู้ในด้านการผลิตไวน์ รวมไปถึงในกลุ่มขุนนางด้วยเช่นกัน ซึ่งในฝรั่งเศสนั้นมีการปรากฏชนิดไวน์ที่มีชื่อเสียงอยู่ในหลาย ๆ ภูมิภาคไวน์ที่อยู่ในฝรั่งเศส หนึ่งในนั้นคือ แคว้นบอร์โดซ์ ซึ่งมีการผลิตไวน์ชั้นดี รวมไปถึงทั้งสภาพทางภูมิศาสตร์ที่เอื้ออำนวยในการทำไวน์ ตั้งแต่เรื่องสภาพดิน ภูมิอากาศที่ไม่ร้อนจนเกินไป นั่นจึงทำให้ในเขตภูมิภาคนี้เป็นดินแดนของไวน์ชั้นดีของฝรั่งเศส และหนึ่งในไวน์ที่มีการกำเนิดเกิดขึ้นนั้นก็คือ Léoville Barton

          Léoville Barton ถือกำเนิดมาจากใน Chateau Leoville Barton โดยมีครอบครัว Barton เป็นเจ้าของสถานที่แห่งนี้ ซึ่งสิ่งที่พวกเขาทำก็คือ ทำการกว้านซื้อที่ดินอย่างมหาศาลเพื่อนำมาพัฒนาธุรกิจไวน์ของพวกเขา โดยเริ่มตั้งแต่การพัฒนาที่ดินเพื่อปลูกไร่องุ่นที่มีคุณภาพ จนไปถึงการพัฒนาโรงเก็บไวน์ ถังหมักเพื่อที่จะใช้ในการบ่มเพาะไวน์ที่มีคุณภาพอย่างยิ่ง ซึ่งผลผลิตจากไร่อันมหาศาลแห่งนี้ก็คือ Léoville Barton นั่นเอง ซึ่งไวน์ชนิดนี้นั้น เรียกได้ว่ามีส่วนผสมและกระบวนการทำที่ซับซ้อนเป็นอย่างมาก และใช้ถังไม้โอ๊กฝรั่งเศสบาร์เรลในการหมักองุ่นเพื่อทำไวน์อีกด้วย และเนื้อไวน์นี้ยังมีสีแดงสด รวมถึงกลิ่นของสนที่ยังคงอบอวลเย้ายวนบรรดานักชิมไวน์ทั้งหลาย พร้อมไปกับรสชาติของมันยังคงละมุนลิ้นติดรสนี้ไปอย่างยาวนานอีกด้วยนั่นเอง

          Léoville Barton นั้น จะมีรสชาติดีก็ต่อเมื่ออยู่ที่ 15 ปี โดยควรรินไว้ก่อนสัก 3-4 ชั่วโมง เพื่อทำให้ไวน์นุ่มและส่งกลิ่นหอม และควรเก็บรักษาในอุณหภูมิ 15.5 องศาเซลเซียส 60 องศาฟาเรนไฮต์ เพื่อทำให้ไวน์นั้นสดใหม่และอร่อยลิ้นนั่นเอง

 

Laurent-Perrier

Laurent-Perrier แชมเปญเอกลักษณ์เยี่ยมจากฝรั่งเศส

          ขึ้นชื่อว่า “แชมเปญ” ที่มีชื่อเสียงและปรากฏในยุโรปแล้วนั้น ก็มีอยู่หลากหลายประเภทหรือชนิดนั้น แชมเปญฝรั่งเศส เป็นแชมเปญที่มีจุดกำเนิดเริ่มต้นมาอย่างยาวนาน ซึ่งแท้จริงแล้ว มันก็ไวน์ที่ถูกผลิตออกมาในรูปแบบหนึ่ง ซึ่งเป็นการผลิตที่มีความแตกต่างจากไวน์อย่างสิ้นเชิง หรือที่เรียกง่าย ๆ เลยก็คือ เป็นไวน์ที่มีฟอง หรือ สปาร์คกลิ้งไวน์ (Sparkling Wine) โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากแคว้น “ชองปาญ” ซึ่งเป็นไวน์ที่เกิดมาจากกระบวนการที่ผิดพลาด แต่มันกลับออกผลผลิตที่เป็นที่นิยมสำหรับนักบวชและชนชั้นสูงอย่างมาก และเพราะดังนั้น มันจึงได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์แห่งการเฉลิมฉลองชัยชนะ เป็นเครื่องดื่มของชนชั้นสูงในแวดวงสังคม และเป็นตัวแทนของการใช้ชีวิตอันน่ารื่นรมย์ ซึ่งแชมเปญในฝรั่งเศสนั้น ก็มีอยู่หลากหลายรูปแบบด้วยกัน และก็มีอยู่หลายชนิดด้วย และหนึ่งในแชมเปญที่เป็นที่ยอดนิยมในฝรั่งเศสเลยก็คือ Laurent-Perrier

          Laurent-Perrier เป็นแชมเปญที่ถูกกำเนิดขึ้นในปี ค.ศ. 1812 โดย Alphonse Pierlot ซึ่งริเริ่มมาจากการรวมที่ดินของเขาเองเข้าด้วยกัน และยังได้รับความร่วมมือจาก Eugene Laurent และ Mathilde Emilie Perrier ซึ่งส่งผลให้ Laurent-Perrier ประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยสามารถผลิตแชมเปญได้ถึง 50,000 กล่องเลยทีเดียว และภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 บริษัทแชมแปญนี้ได้ส่งต่อให้ Bernard de Nonancourt เป็นผู้ดูแล และเขานี่เองที่สามารถทำให้แชมเปญชนิดนี้โด่งดังมาจนถึงทุกวันนี้ได้นั่นเอง

          สำหรับแชมเปญ Laurent-Perrier นั่น ก็ถือได้ว่ามีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นอยู่เช่นกัน ตั้งแต่กลิ่นอายและรสชาติที่มียังคงความเป็นเอกลักษณ์ของฝรั่งเศสไว้อย่างสมบูรณ์ และอบอวลไปด้วยรสชาติกับกลิ่นที่ออกเปรี้ยวของแอปเปิ้ลเขียว และยังมีกลิ่นและรสชาติของส้มไนตรัส และดอกไม้ขาวที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว ก็ยิ่งทำแชมเปญชนิดนี้ได้กลายเป็นที่นิยมอย่างมากในเวลาต่อมา และแชมเปญนี้ยังจะดีอย่างยิ่งเมื่อได้ดื่มควบคู่ไปกับอาหารจำพวกเนื้อสัตว์อย่างเนื้อหมู เนื้อปลา และอาหารประเภทชีส ก็ยังช่วยชูรสความเอร็ดอร่อยให้กับการรับประทานั้น ๆ ได้อย่างดีนั่นเอง

Lascombes, Margaux

Lascombes

          ความยิ่งใหญ่ที่ถูกบอกเล่าผ่านทางประวัติศาสตร์ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เกิดมาตั้งแต่สมัยโบราณอย่างไวน์นั้น เราจะพบเห็นได้ง่ายจากในทวีปยุโรป เพราะถือว่าเป็นดินแดนที่มีการปลูกองุ่นไว้อย่างมากมาย โดยเฉพาะไวน์ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นประเภทของไวน์ที่มีชื่อเสียงอย่างมาก ซึ่งมีประวัติความเป็นมานับตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ จึงถือได้ว่าไวน์ฝรั่งเศสเป็นไวน์ที่อายุยืนยาวมานานนับพันปี และในตอนที่มีการมาถึงของศาสนาคริสต์ ก็ยังถือได้ว่าไวน์เป็นส่วนประกอบที่สำคัญอย่างมากในการประกอบพิธี ซึ่งนั่นจึงทำให้ในยุคกลาง มีพระสงฆ์ได้ปลูกองุ่นขึ้นและยังมีความรู้ในด้านการผลิตไวน์ รวมไปถึงในกลุ่มขุนนางด้วยเช่นกัน ซึ่งในฝรั่งเศสนั้นมีการปรากฏชนิดไวน์ที่มีชื่อเสียงอยู่ในหลาย ๆ ภูมิภาคไวน์ที่อยู่ในฝรั่งเศส หนึ่งในนั้นคือ แคว้นบอร์โดซ์ ซึ่งมีการผลิตไวน์ชั้นดี โดยเฉพาะไวน์แดง รวมไปถึงทั้งสภาพทางภูมิศาสตร์ที่เอื้ออำนวยในการทำไวน์ ตั้งแต่เรื่องสภาพดิน ภูมิอากาศที่ไม่ร้อนจนเกินไป นั่นจึงทำให้ในเขตภูมิภาคนี้เป็นดินแดนของไวน์ชั้นดีของฝรั่งเศส และหนึ่งในไวน์ที่มีการกำเนิดขึ้นคือ Lascombes

          Lascombes เป็นไวน์ที่เป็นผลผลิตมาจากไร่ใน Chateau Lascombes โดยใช้ชื่อมาจากหนึ่งในเจ้าของคนแรกสุดที่ครอบครองอสังหาริมทรัพย์แห่งนี้ในศตวรรษที่ 17 คือ Antoine, Chevalier de Lascombes Lascombes จนกระทั่งมาถึงมือของ Comte Jean-Jules Theophile Chaix-d’Est-Ange ในช่วงปลายทศวรรษ 1700 ซึ่งเป็นยุคที่เริ่มทำธุรกิจไวน์ และมันก็ได้เปลี่ยนมือเจ้าของไปอยู่หลายครั้ง จนมาถึงปี ค.ศ. 2001 ที่ได้ Colony Capital ซึ่งเป็นบริษัทจากอเมริกา ในราคา 67 ล้านดอลลาร์ ซึ่งภายใต้การดูแลของ Colony Capital ทำให้สามารถขายไวน์ได้เกือบ 300,000,000 ดอลลาร์เลยทีเดียว

          Lascombes นั้น จะมีรสชาติดีก็ต่อเมื่ออยู่ที่ 7-10 ปี โดยควรรินไว้ก่อนสัก 2-3 ชั่วโมง เพื่อทำให้ไวน์นุ่มและส่งกลิ่นหอม และควรเก็บรักษาในอุณหภูมิ 15.5 องศาเซลเซียส 60 องศาฟาเรนไฮต์ เพื่อทำให้ไวน์นั้นสดใหม่และอร่อยลิ้นนั่นเอง

 

Langoa Barton, St Julien

Langoa Barton ไวน์ที่มีประวัติศาสตร์และความคลาสสิคอันงดงามแห่งบอร์โดซ์

          เรื่องราวความยิ่งใหญ่ของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เกิดมาตั้งแต่สมัยโบราณอย่างไวน์นั้น เราจะพบเห็นได้ง่ายจากในทวีปยุโรป เพราะถือว่าเป็นดินแดนที่มีการปลูกองุ่นไว้อย่างมากมาย โดยเฉพาะไวน์ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นประเภทของไวน์ที่มีชื่อเสียงอย่างมาก ซึ่งมีประวัติความเป็นมานับตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ จึงถือได้ว่าไวน์ฝรั่งเศสเป็นไวน์ที่อายุยืนยาวมานานนับพันปี และในตอนที่มีการมาถึงของศาสนาคริสต์ ก็ยังถือได้ว่าไวน์เป็นส่วนประกอบที่สำคัญอย่างมากในการประกอบพิธี ซึ่งนั่นจึงทำให้ในยุคกลาง มีพระสงฆ์ได้ปลูกองุ่นขึ้นและยังมีความรู้ในด้านการผลิตไวน์ รวมไปถึงในกลุ่มขุนนางด้วยเช่นกัน ซึ่งในฝรั่งเศสนั้นมีการปรากฏชนิดไวน์ที่มีชื่อเสียงอยู่ในหลาย ๆ ภูมิภาคไวน์ที่อยู่ในฝรั่งเศส หนึ่งในนั้นคือ แคว้นบอร์โดซ์ ซึ่งมีการผลิตไวน์ชั้นดี โดยเฉพาะไวน์แดง รวมไปถึงทั้งสภาพทางภูมิศาสตร์ที่เอื้ออำนวยในการทำไวน์ ตั้งแต่เรื่องสภาพดิน ภูมิอากาศที่ไม่ร้อนจนเกินไป นั่นจึงทำให้ในเขตภูมิภาคนี้เป็นดินแดนของไวน์ชั้นดีของฝรั่งเศส และหนึ่งในไวน์ที่มีการกำเนิดขึ้นคือ Langoa Barton

          Langoa Barton ซึ่งได้ถือกำเนิดมาจากไร่ใน Chateau Langoa Barton โดยเป็นสมบัติของครอบครับ Barton มาอย่างยาวนาน โดยเริ่มมาตั้งแต่ในปี ค.ศ. 1722 โดยเริ่มจาก Thomas Barton ได้เดินทางออกมาจากไอร์แลนด์มายังบอร์โดซ์ ซึ่งหลังจากนั้น ครอบครัวนี้ก็ได้ทำงานอย่างต่อเนื่อง จนสามารถประสบความสำเร็จในธุรกิจไวน์ ซึ่งหลังจากนั้น ครอบครัว Barton ก็ได้ขยายโอกาสทางธุรกิจ ด้วยการหาซื้อพื้นที่เพิ่มเพื่อจะขยายไร่องุ่น พัฒนาเครื่องมือในการทำไวน์ ซึ่งไวน์ของที่นี่นั้น ได้ใช้ถังไม้โอ๊กฝรั่งเศส โดยบ่มอยู่ในนั้นเป็นเวลา 20 เดือน รวมถึงยังคงความหรูหราด้วยกลิ่นผลไม้อย่างแบล็คเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ และดอกไวโอเล็ต นั่นจึงทำให้ไวน์ชนิดนี้ได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบัน

          Langoa Barton นั้น จะมีรสชาติดีก็ต่อเมื่ออยู่ที่ 10 ปี โดยควรรินไว้ก่อนสัก 2-4 ชั่วโมง เพื่อทำให้ไวน์นุ่มและส่งกลิ่นหอม และควรเก็บรักษาในอุณหภูมิ 15.5 องศาเซลเซียส 60 องศาฟาเรนไฮต์ เพื่อทำให้ไวน์นั้นสดใหม่และอร่อยลิ้นนั่นเอง

Lagrange, St Julien

Lagrange ไวน์แดงอันกลมกล่อมจากบอร์โดซ์

          นับตั้งแต่ยุคสมัยโบราณ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นสิ่งที่มีการกำเนิดเกิดขึ้นมาพร้อมกับการพัฒนาการของมนุษย์ รวมไปถึงการกำเนิดของไวน์ด้วย ซึ่งการกำเนิดของไวน์นี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในทวีปยุโรป เพราะถือว่าเป็นดินแดนที่มีการปลูกองุ่นไว้อย่างมากมาย โดยเฉพาะไวน์ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นประเภทของไวน์ที่มีชื่อเสียงอย่างมาก ซึ่งมีประวัติความเป็นมานับตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ จึงถือได้ว่าเป็นไวน์ที่อายุยืนยาวมานานนับพันปี แม้แต่ในศาสนาคริสต์เอง ก็ยังถือได้ว่าไวน์เป็นส่วนประกอบที่สำคัญอย่างมากในการประกอบพิธี ซึ่งนั่นจึงทำให้ในยุคกลาง มีพระสงฆ์ได้ปลูกองุ่นขึ้นและยังมีความรู้ในด้านการผลิตไวน์ รวมไปถึงในกลุ่มขุนนางด้วยเช่นกัน ซึ่งในฝรั่งเศสนั้นมีการปรากฏชนิดไวน์ที่มีชื่อเสียงอยู่ในหลาย ๆ ภูมิภาคไวน์ที่อยู่ในฝรั่งเศส หนึ่งในนั้นคือ แคว้นบอร์โดซ์ ซึ่งมีการผลิตไวน์ชั้นดี โดยเฉพาะไวน์แดง รวมไปถึงทั้งสภาพทางภูมิศาสตร์ที่เอื้ออำนวยในการทำไวน์ ตั้งแต่เรื่องสภาพดิน ภูมิอากาศที่ไม่ร้อนจนเกินไป นั่นจึงทำให้ในเขตภูมิภาคนี้เป็นดินแดนของไวน์ชั้นดีของฝรั่งเศส ซึ่งเมืองที่เรียกได้ว่าเป็นแหล่งที่มีการกำเนิดของไวน์ต่าง ๆ นา ๆ ชนิด คือเมือง St Julien และหนึ่งในสถานที่ที่มีการผลิตภัณฑ์ไวน์ที่เกิดขึ้นคือ Lagrange

          Lagrange ได้ถือกำเนิดมาจากไร่ใน Chateau Lagrange ย้อนกลับไปในยุคกลาง ซึ่งตามเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่มีบันทึกไว้นั้น ได้กล่าวถึงไร่องุ่นแห่งนี้ โดยมีจุดเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1631 ในช่วงศตวรรษที่ 18 ที่ดินที่งดงามราวกับภาพวาดแห่งนี้เป็นสมบัติของ Baron de Brane ซึ่งในเวลาต่อมาก็ได้มีการเปลี่ยนแปลงเจ้าของมาอย่างมากมาย รวมไปถึงยังพบเจอกับวิกฤตการณ์อีกมากมาย จนทำให้ต้องขายพื้นที่ไปหลายเฮกตาร์ จนทำให้ภายในปี ค.ศ. 1983 ได้มีบริษัท Suntory ของญี่ปุ่นได้มาขอซื้อพื้นที่ตรงนี้ไปพัฒนาต่อ และได้ลงทุนอย่างมหาศาลในการพัฒนาห้องเก็บไวน์ ถังหมัด และพื้นที่ไร่องุ่นทั้งหมด ซึ่งนำมาซึ่งการพัฒนาของไวน์ชั้นดีนั่นเอง

          Lagrange นั้น จะมีรสชาติดีก็ต่อเมื่ออยู่ที่ 8-10 ปี โดยควรรินไว้ก่อนสัก 2-3 ชั่วโมง เพื่อทำให้ไวน์นุ่มและส่งกลิ่นหอม และควรเก็บรักษาในอุณหภูมิ 15.5 องศาเซลเซียส 60 องศาฟาเรนไฮต์ เพื่อทำให้ไวน์นั้นสดใหม่และอร่อยลิ้นนั่นเอง

 

Lafon-Rochet, St Estèphe

Lafon-Rochet ไวน์แดงน่าลิ้มรสจากบอร์โดซ์

          นับตั้งแต่ยุคสมัยโบราณ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นสิ่งที่มีการกำเนิดเกิดขึ้นมาพร้อมกับการพัฒนาการของมนุษย์ รวมไปถึงการกำเนิดของไวน์ด้วย ซึ่งการกำเนิดของไวน์นี้ส่วนใหญ่เกิดขึ้นในทวีปยุโรป เพราะถือว่าเป็นดินแดนที่มีการปลูกองุ่นไว้อย่างมากมาย โดยเฉพาะไวน์ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นประเภทของไวน์ที่มีชื่อเสียงอย่างมาก ซึ่งมีประวัติความเป็นมานับตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ จึงถือได้ว่าเป็นไวน์ที่อายุยืนยาวมานานนับพันปี แม้แต่ในศาสนาคริสต์เอง ก็ยังถือได้ว่าไวน์เป็นส่วนประกอบที่สำคัญอย่างมากในการประกอบพิธี ซึ่งนั่นจึงทำให้ในยุคกลาง มีพระสงฆ์ได้ปลูกองุ่นขึ้นและยังมีความรู้ในด้านการผลิตไวน์ รวมไปถึงในกลุ่มขุนนางด้วยเช่นกัน ซึ่งในฝรั่งเศสนั้นมีการปรากฏชนิดไวน์ที่มีชื่อเสียงอยู่ในหลาย ๆ ภูมิภาคไวน์ที่อยู่ในฝรั่งเศส หนึ่งในนั้นคือ แคว้นบอร์โดซ์ ซึ่งมีการผลิตไวน์ชั้นดี โดยเฉพาะไวน์แดง รวมไปถึงทั้งสภาพทางภูมิศาสตร์ที่เอื้ออำนวยในการทำไวน์ ตั้งแต่เรื่องสภาพดิน ภูมิอากาศที่ไม่ร้อนจนเกินไป นั่นจึงทำให้ในเขตภูมิภาคนี้เป็นดินแดนของไวน์ชั้นดีของฝรั่งเศส ซึ่งเมืองที่เรียกได้ว่าเป็นแหล่งที่มีการกำเนิดของไวน์ต่าง ๆ นา ๆ ชนิด คือเมือง St Estèphe และหนึ่งในสถานที่ที่มีการผลิตภัณฑ์ไวน์ที่เกิดขึ้นคือ Lafon-Rochet

          ไวน์ Lafon-Rochet ถูกสร้างในไร่ของ Chateau Lafon Rochet โดยมีจุดเริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 17 โดยก่อตั้งในปี 1650 โดย Antoinette de Guillemottte ที่ได้นำที่ดินของ Rochette เป็นสินสอดทองหมั้นให้กับ Pierre de Lafon สามีของเธอ ซึ่งหลังจากนั้นพวกเขาได้เปลี่ยนชื่อที่ดินโดยใช้นามสกุล ควบคู่ไปกับชื่อเดิมของทรัพย์สิน ก็คือ Chateau Rochet และ Chateau Lafon Rochet นั่นเอง และก็ได้เจ้าของที่ดินใหม่มาซื้อไป นั่นก็คือ ตระกูล Tesseron ในปี ค.ศ. 1959 ซึ่งสิ่งที่เขาได้เริ่มทำนั้นก็คือ การบูรณะ ฟื้นฟู ต่อเติม สถานที่ให้เหมาะแก่การทำไร่องุ่นเพื่อผลิตไวน์ในเวลาต่อมา จนกระทั่งในปี         ค.ศ. 2021 ได้มีการขายที่ดินต่อให้เป็น Jacky Lorenzetti ซึ่งเคยมีประสบการณ์ในการทำไร่องุ่น Chateau Lilian Ladouys มาแล้วนั่นเอง

          Lafon-Rochet นั้น จะมีรสชาติดีก็ต่อเมื่ออยู่ที่ 10-25 ปี โดยควรรินไว้ก่อนสัก 1-3 ชั่วโมง เพื่อทำให้ไวน์นุ่มและส่งกลิ่นหอม และควรเก็บรักษาในอุณหภูมิ 15.5 องศาเซลเซียส 60 องศาฟาเรนไฮต์ เพื่อทำให้ไวน์นั้นสดใหม่และหวานหยดย้อยนั่นเอง

 

 

 

The Singleton of Glendullan วิสกี้รสดีแห่ง Glendullan

       Glendullan เป็นชื่อโรงกลั่นที่มีความนิยมอย่างมากในสกอตแลนด์ อันมีจุดเริ่มต้นจากปี ค.ศ. 1897 ซึ่งจุดเด่นของที่นี่คือการสร้างผลิตภัณฑ์วิสกี้ด้วยการหมักในถังไม้โอ๊คอเมริกัน พร้อมให้ความหวานและความมันที่เข้มข้น ใช้เอกลักษณ์ในรูปแบบซิงเกิ้ลมอลต์ รวมถึงบ่มในถังเชอร์รี่แบบยุโรป นั่นจึงส่งผลทำให้โรงกลั่นแห่งนี้ได้สร้างผลิตภัณฑ์วิสดี้ที่มีรูปชาติดีและเป็นที่นิยมมาอย่างมากมาย ซึ่งโรงกลั่น Glendullan นี้ก็มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาอย่างยาวนาน รวมไปถึงการผลิตจำหน่ายวิสกี้ที่มีคุณภาพอย่างยิ่ง จนกระทั่งในปี ค.ศ. 2006 โรงกลั่นแห่งนี้ได้ผลิตวิสกี้ที่มีรสชาติดีและเป็นที่นิยมอย่างมากในวงการวิสกี้ นั่นก็คือ Singleton

       “Singleton” เป็นวิสกี้ที่ใช้วัตถุดิบจากข้าวบาร์เลย์ 100% โดยหมักอยู่ในถังเบอร์บอนและถังเชอร์รี่ และวิสกี้ชนิดนี้ยังค่อนข้างนุ่มละมุนไปด้วยกลิ่นวานิลลา ผสานเข้ากับกลิ่นของผลไม้ตากแห้งปันกับกลิ่นของ ถั่วลิสงอ่อน ๆ และยังมีระดับของปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ 40% ซึ่งทำให้วิสกี้ชนิดนี้ได้รับความนิยมอย่างมากทั้งในสกอตแลนด์และทั่วโลกนั่นเอง

Louis Royer Cognac บรั่นดีชั้นดีจากฝรั่งเศส

       เมื่อเราจะพูดถึงเหล้าของฝรั่งเศสแล้วนั้น เราก็คงจะพูดถึงไวน์ฝรั่งเศสอันเลื่องชื่อ ซึ่งจริง ๆ แล้วเหล้าของฝรั่งเศสนั้น มีอยู่หลากหลายประเภทมากมาย และหนึ่งในนั้นคือ บรั่นดีฝรั่งเศส ซึ่งบรั่นดีฝรั่งเศศที่มีชื่อเสียงอย่างมากเลย นั่นก็คือ คอนญัก (Cognac) บรั่นดีชนิดหนึ่งซึ่งถูกตั้งชื่อมาจากเทศบาลคอนญัก ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งพื้นที่ตรงนั้นแต่เดิมนั้นเป็นพื้นที่ที่เพาะปลูกองุ่นเพื่อเอาไว้ผลิตไวน์ในบริเวณนั้น ซึ่งการผลิตคอนญักนั้น อยู่ภายใต้การระบุถึงการรับรองเป็นภาษาฝรั่งเศส คำว่า “appellation d’origine contrôlée (AOC)” ซึ่งหมายถึง “การกำหนดควบคุมของแหล่งกำเนิด” ซึ่งบรั่นดีประเภทนี้ ต้องกลั่นถึงสองครั้งในหม้อกลั่นทองแดง และต้องบ่มอย่างน้อยสองปีในถังไม้โอ๊กฝรั่งเศส นั่นจึงทำให้คอนญักส่วนใหญ่จะใช้เวลายาวนานกว่า “อยู่บนไม้” ตามข้อกำหนดกฎหมายขั้นต่ำ ซึ่งในบรรดาคอนญักที่มีชื่อเสียงนั้น หนึ่งในนั้นคือ Louis Royer Cognac

       Louis Royer Cognac นั้นมีชื่อเสียงมาตั้งแต่ในปี ค.ศ. 1853 โดยยี่ห้อ Louis Royer เป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงในด้านของคอนญักอย่างมาก โดยทาง Louis Royer นั้น ก็ได้ผลิตคอนญักออกมาหลากหลายประเภท โดยเฉพาะแบบ V.S.O.P ซึ่งเป็นการผสมผสานบรั่นดีที่มีอายุน้อยที่สุดอย่างน้อย 4 ปีในถัง ซึ่งถือได้ว่าเป็นที่นิยมอย่างยิ่งนั่นเอง จึงส่งผลทำให้ Louis Royer Cognac ได้กลายเป็นแบรนด์บรั่นดีฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมอย่างยิ่งนั่นเอง

Lafite Rothschild, Pauillac

Lafite Rothschild หนึ่งในไวน์ที่ดีที่สุดจากบอร์โดซ์

          ขึ้นชื่อว่า “ไวน์” ที่มีชื่อเสียงและปรากฏในยุโรปแล้วนั้น ก็มีอยู่หลากหลายประเภทหรือชนิดนั้น ไวน์ฝรั่งเศส เป็นไวน์ที่มีการกล่าวถึงมาอย่างยาวนานและเป็นประเภทของไวน์ที่มีชื่อเสียงอย่างมาก และมีประวัติความเป็นมานับตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ จึงถือได้ว่าไวน์ฝรั่งเศสเป็นไวน์ที่อายุยืนยาวมานานนับพันปีในแถบเมดิเตอร์เรเนียน จนกระทั่งการมาถึงของศาสนาคริสต์ ซึ่งถือได้ว่าไวน์เป็นส่วนประกอบที่สำคัญอย่างมากในการประกอบพิธี ซึ่งนั่นจึงทำให้ในยุคกลาง มีพระสงฆ์ได้ปลูกองุ่นขึ้นและยังมีความรู้ในด้านการผลิตไวน์ รวมไปถึงในกลุ่มขุนนางด้วยเช่นกัน ซึ่งในฝรั่งเศสนั้นมีการปรากฏชนิดไวน์ที่มีชื่อเสียงอยู่ในหลาย ๆ ภูมิภาคไวน์ที่อยู่ในฝรั่งเศส หนึ่งในนั้นคือ แคว้นบอร์โดซ์ ซึ่งมีการผลิตไวน์ชั้นดี โดยเฉพาะไวน์แดง รวมไปถึงทั้งสภาพทางภูมิศาสตร์ที่เอื้ออำนวยในการทำไวน์ ตั้งแต่เรื่องสภาพดิน ภูมิอากาศที่ไม่ร้อนจนเกินไป นั่นจึงทำให้ในเขตภูมิภาคนี้เป็นดินแดนของไวน์ชั้นดีของฝรั่งเศส และมีไวน์ชนิดหนึ่งที่ได้ถูกผลิตขึ้นก็คือ Lafite Rothschild

          Lafite Rothschild มีที่มาจากไร่ใน Chateau Lafite Rothschild ซึ่งเป็นที่รู้จักจากบรรดานักชิมไวน์ทั้งหลายว่าเป็นไวน์บอร์โดซ์ที่ดีที่สุด และยังถือว่าเป็นหนึ่งในไวน์ที่มีชื่อเสียงที่สุดและมีราคาแพงที่สุดในโลก ซึ่งไวน์ชนิดนี้มีประวัติอันยาวนานและน่าสนใจ โดยสามารถย้อนได้ไปถึงปี ค.ศ. 1234 โดยเจ้าของที่ดินในขณะนั้นก็คือ Gombaud de Lafite ซึ่งได้เป็นเจ้าของปราสาทแห่งนี้ จึงส่งผลทำให้ไร่แห่งนี้ได้ชื่อว่า Lafite นั่นเอง และที่มีของชื่อต่อท้ายอย่าง Rothschild ก็เกิดมาจากการที่ Amschel Meyer Amschel Meyer ซึ่งถือว่าเป็นต้นตระกูล Rothschild ได้เข้ามาซื้อที่ดินแห่งนี้ต่อนั่นเอง ซึ่งหลังจากนั้น ได้มีผู้มาเป็นประธานบริษั?นี้อยู่มากมายหลายคน จนกระทั่งในปี ค.ศ. 2018 ได้มีการเสนอชื่อให้ Saskia de Rothschild ให้เป็นผู้เข้ามาดูแล โดยก่อนหน้านั้น เธอเคยทำงานที่ Chateau L’ Evangeleใน Pomerol เมื่อเธออายุเพียง 19 ปี ก่อนที่จะเข้ามาดูแลธุรกิจ Lafite Rothschild อย่างเต็มตัวในปี ค.ศ. 2015

          Lafite Rothschild นั้น จะมีรสชาติดีก็ต่อเมื่ออยู่ที่ 15 ปี โดยควรรินไว้ก่อนสัก 3-6 ชั่วโมง เพื่อทำให้ไวน์นุ่มและส่งกลิ่นหอม และควรเก็บรักษาในอุณหภูมิ 15.5 องศาเซลเซียส 60 องศาฟาเรนไฮต์ เพื่อทำให้ไวน์นั้นสดใหม่และอร่อยลิ้นนั่นเอง