anCnoc 12 Years Old

anCnoc 12 Years Old

วิสกี้ single malt สีเหลือทองอร่าม ที่แสนนุ่มนวล สัญชาติสก๊อตแลนด์ จากภูมิภาค High Land ที่ผ่านกรรมวิธีการหมักมาอย่างยาวนานถึง 12 ปี ในถังไม้โอ๊คอันเก่าแก จนทำให้มีรสชาติจากผลไม้และสมดุลกับความหอมหวานจากน้ำผึ้งและความนุ่มนวลดั่งวานิลลา

กลิ่น: มีโน้ตของน้ำผึ้งและความเปรี้ยวจากเลม่อนจากพื้นดิน โน้ตจากวานิลลาเป็นกลิ่นที่นุ่มนวลชวนให้คุณหลงใหลไปกับความละมุนสีเหลืองทองนี้

รสสัมผัส: เริ่มต้นด้วยรสสัมผัสฟรุ้ตตี้และมีความละมุน นุ่มนวลด้วยรสสัมผัสจากวานิลลา ความหวานเล็ก ๆ จากลูกเกด และน้ำผึ้ง ตามด้วยรสสัมผัสเครื่องเทศอย่างซินนาม่อน และตามด้วยมอล์ท ทำให้รสชาติของ ของวิสกี้ขวดนี้ออกมากลมกล่อม ละมุน และดื่มง่ายอีกด้วย

Awards for anCnoc 12

Gold

Gold

Scotch Single Malt – Highland – 2017

International Wine & Spirit Competition

Silver Outstanding

Silver Outstanding

Scotch Single Malt – Highland – 2014

International Wine & Spirit Competition

Silver

Silver

Distillers’ Single Malts 12 years and under – 2014

International Spirits Challenge

Silver

Silver

Single Malt Scotch – to 12 Yrs – 2013

San Francisco World Spirits Competition

Silver Outstanding

Silver Outstanding

Scotch Single Malt – Highland – 2013

International Wine & Spirit Competition

เหล้านอก

The Balvenie Cask 50Year Old Vintage

The Balvenie 50Year Old Vintage

The Balvenie malt scotch whisky ถือว่าเป็นหนึ่งในวิสกี้ที่จะมอบรสชาติอันน่าชวนชื่นและน่าลิ้มลองเป็นอย่างยิ่ง โดยเกิดจากองค์ประกอบภายในวิสกี้นี้ ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นผลไม้หวานและเชอร์รี่โอโลโรโซ ที่ปกคลุมไปด้วยน้ำผึ้งและวานิลลา และด้วยกลิ่นอายในรูปแบบของ 50 Years old ก็ทำให้มันได้กลายเป็น The Balvenie malt scotch whisky ที่มีรสชาติอันยอดเยี่ยมและน่าเอร็ดอร่อยอย่างยิ่งเลยนั่นเอง โดยจะมีกลิ่นของดอกไม้ ผลไม้ และน้ำผึ้งที่ออกมาฟุ้งหอมกระจายอย่างมาก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับรสชาติของส้ม อบเชย จันทน์เทศ และต้นโอ๊คออกมาได้อย่างดีอีกด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้ช่วยทำให้ The Balvenie malt scotch whisky ได้รับความนิยมอย่างมากสำหรับคอวิสกี้ทั้งหลายในปัจจุบันนี้นั่นเอง

Category : Single Malt
Distillery : Balvenie
Bottler : Distillery Bottling
Stated Age : 50 years old
Strength : 42.0 % Vol.
Size : 700 ml 750 ml

Detailed Description

The third release in Balvenie’s Fifty Marriage series is a combination of seven casks selected by master blender David Stewart MBE. Aromas of fruit cake, cinnamon, elegant oak spice, dried fruit, raisins, sultanas and ginger fill the nose, complemented by notes of bitter chocolate, nutmeg, maple syrup and honey throughout the palate.

Balvenie 50 Year Old Batch 3 Marriage 0614 Speyside Single Malt Scotch Whisky | 700ML Tasting Notes

Nose: Delightful aroma.

Palate: Sweet, smooth and with a real oak flavour.

Finish: Rich and smooth.

เหล้านอก

โบลิว วินยาร์ด Beaulieu Vineyard / BV

โบลิว วินยาร์ด (Beaulieu Vineyard / BV)

โบลิว วินยาร์ด
(Beaulieu Vineyard / BV) เริ่มถือกำเนิดในปี ค.ศ.1900 ที่ หมู่บ้านนาปา (Napa Valley) รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยได้ชื่อมาจากวลีภาษาฝรั่งเศส “Quel beau lieu” ซึ่งแปลว่า “ช่างเป็นสถานที่ที่สวยงามจริงๆ” แล้ว โบลิว วินยาร์ด (Beaulieu Vineyard / BV) ก็ได้เป็นโรงกลั่นไวน์ที่ผลิตกับจำหน่ายไวน์ระดับชั้นนำของสหรัฐอเมริกาและมีชื่อเสียงระดับโลก

ในที่นี้เราจะขอแนะนำไวน์ของ โบลิว วินยาร์ด (Beaulieu Vineyard / BV) เรียงลำดับตามราคาค่าตัวจากน้อยไปหามาก ดังต่อไปนี้   

โบลิว วินยาร์ด กาแบร์เน โซวีญง (Beaulieu Vineyard Cabernet Sauvignon)

เป็นไวน์ที่ใช้องุ่นพันธุ์ กาแบร์เนโซวีญง (Cabernet Sauvignon) เป็นวัตถุดิบหลักและมีกรรมวิธีในการผลิตค่อนข้างละเอียดอ่อน ทำให้ไวน์ตัวนี้มีสีและกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของความเป็น กาแบร์เน โซวีญง (Cabernet Sauvignon) ชัดเจน คือ สีของไวน์จะเป็นสีแดงแก่ก่ำคล้ายกับพลอยโกเมนและมีกลิ่นหอมโดดเด่นขององุ่น นอกจากนี้รสชาติของไวน์ก็มีความแปลกใหม่ ซึ่งจะแบ่งออกเป็นชั้นๆ ชั้นแรกจะเป็นรสหวานจากวัตถุดิบหลักและผลไม้ต่างๆ ส่วนชั้นสองจะเริ่มมีความเผ็ดจากเครื่องเทศ โดยทั้งสองชั้นต่างเป็นรสชาติที่มีความลงต้ว ไวน์ตัวนี้เหมาะกับนักดื่มทั่วไปหรือผู้เริ่มหัดดื่ม เพราะไวน์มีปริมาณแอลกอฮอล์เพียง 13.8% เท่านั้น

โบลิว วินยาร์ด กาแบร์เน โซวีญง นาปา วัลเลย์ (Beaulieu Vineyard Cabernet Sauvignon Napa Valley)

ไวน์ตัวนี้จะมีสีแดงและมีกลิ่นเข้มข้นปนนุ่มลึกตามแบบฉบับไวน์ที่มาจากหมู่บ้านนาปา (Napa Valley) แถมยังมีกลิ่นของดอกไวโอเลตกับกลิ่นกาแฟมอคค่ารวมถึงแบล็กเบอร์รี่ เชอร์รี่และพลัม ส่วนรสชาติก็จะมีความเป็นเอกลักษณ์ของผลไม้ตามที่กล่าวมา ระดับปริมาณแอลกอฮอล์ของไวน์ตัวนี้อยู่ที่ 14.6%

โบลิว วินยาร์ด รัทเทอร์ฟอร์ด นาปา วัลเลย์ แทพพิสทรี (Beaulieu Vineyard Rutherford Napa ValleyTapestry)

คือไวน์ที่ใช้องุ่นหลายสายพันธุ์ในการผลิต ได้แก่ การ์แบร์เน โซวีญง (Cabernet Sauvignon) 75%, แมร์โล (Merlot) 11%, กาแบร์เน ฟรังก์ (Cabernet Franc) 4%, มาลเบ็ค (Malbec) 7% และ เปอติด เวอร์โด (Petit Verdot) 3% ไวน์ตัวนี้จะมีกลิ่น รสชาติและเนื้อส้มผัสที่ดีมาก สีของไวน์มีสีแดงสด กลิ่นและรสชาติเป็นไปในทิศทางเดียวกันอย่างเหมาะเจาะลงตัว ระดับปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ระหว่าง 14-14.9%

ไวน์ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นเพียงส่วนหนี่งของแบรนด์นี้เท่านั้น ซึ่งทั้งสามตัวเหมาะกับบุคคลทั่วไปหรือนักดื่มไวน์มือใหม่ เนื่องจากซื้อหาได้ไม่ยากแถมสนนราคาเริ่มต้นก็จับต้องได้แบบสบายกระเป๋าจริงๆ 

เบรินเจอร์ Beringer

เบรินเจอร์ (Beringer)

เบรินเจอร์ (Beringer) คือหนึ่งในผู้ผลิตไวน์เก่าแก่ที่สุดและใหญ่โตรายหนึ่งของรัฐแคลิฟอร์เนีย ก่อตั้งโดย จาค็อบ กับ เฟร

เดอริค เบรินเจอร์ (Jacob – Frederick Beringer) ซึ่งได้เริ่มผลิตไวน์ครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1876 ปัจจุบันดำเนินการโดย มาร์ก เบรินเจอร์ (Mark Beringer) ผู้เป็นหลานรุ่นที่ 4 ของตระกูล โดยเขายังคงรักษาคุณภาพและธรรมเนียมการผลิตของ เบรินเจอร์ (Beringer) อย่างมั่นคงดังเดิม

ถ้าพูดถึงจุดเด่นของ เบรินเจอร์ (Beringer) จะต้องบอกว่า ไวน์แดงคือจุดเด่นที่โดดเด่นของแบรนด์นี้และมีผู้คนมากมายปราถนาจะได้ลิ้มลอง เช่นนั้นเราจึงขอแนะนำไวน์แดงที่น่าจะแรงฤทธิ์ ดังนี้

เบรินเจอร์ ไน้ท วัลเลย์ กาแบร์เน โซวีญง (Beringer Knights Valley Cabernet Sauvignon)

ไวน์ตัวนี้มีลักษณะสีแดงสดคล้ายสีของทับทิม มีกลิ่นหอมหวานและมีกลิ่นของผลไม้จำพวกเคอร์แรนท์ ซาสสาราส แถมยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ จากผลไม้สีแดงอีกหลายตัว นอกจากนี้ รสชาติก็หอมหวานด้วยรสของแบล็กเบอร์รี่และแบล็กเคอร์แรนท์ผสมกับรสของเครื่องเทศชั้นดี ระดับปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ 13.0% ซึ่งปริมาณแอลกอฮอล์ไม่สูงนักแบบนี้น่าจะเหมาะกับสุภาพสตรีผู้เป็นมือใหม่ที่ต้องการจะลิ้มลองไวน์ชั้นเยี่ยมรสดีสีสวย

เบรินเจอร์ ฟาวเดอร์ เอสเต็ท กาแบร์เน โซวีญง (Beringer Founders Estate Cabernet Sauvignon)

ไวน์นี้เป็นตัวที่มีลักษณะเยี่ยม คือ สีจะเป็นแดงเข้มออกสว่าง กลิ่นบอกความเป็นเอกลักษณ์รวมถึงมีกลิ่นของใบชาเขียว กลิ่นเหล้าแคสซิสและกลิ่นเครื่องเทศบางชนิด รสชาติของไวน์จะสดชื่นและมีรสเหมือนกับกลิ่นที่แสดงออกมา แล้วรสยังติดลิ้นยาวนานด้วย ส่วนปริมาณแอลกอฮอล์ก็จะอยู่ที่ 13.5% ทั้งระดับแอลกอฮอล์ กลิ่น สีและรสชาติ ไวน์ตัวนี้ก็คงเป็นอีกตัวที่เหมาะกับสุภาพสตรีด้วยเช่นกัน

เบรินเจอร์ นาปา วัลเลย์ กาแบร์เน โซวีญง (Beringer Napa Valley Cabernet Sauvignon)

ไวน์ตัวนี้จะใช้องุ่นพันธุ์ กาแบร์เน โซวีญง (Cabernet Sauvignon) ในการผลิตเท่านั้นจึงทำให้ไวน์ที่ได้มีเนื้อสัมผัสสวยงาม สีแดงสด มีกลิ่นหอมอวลทั้งกลิ่นของเบอร์รี่และผลไม้พร้อมกับกลิ่นของดาร์กช็อกโกแลต ส่วนรสชาติก็จะหอมหวาน ระดับปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ 14.9% สรุปแล้วไวน์ตัวนี้เป็นไวน์ที่มีกลิ่นและรสชาติดีเยี่ยมแถมมีความเป็นตัวของตัวเองชัดเจน แบบนี้คงจะเหมาะกับหลายๆ คนที่ชื่นชอบสีแดงสดอันมีเอกลักษณ์

สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด เบรินเจอร์ (Beringer) ยังมีเครื่องดื่มอีกหลายตัวรอให้คุณๆ ไม่ว่าจะสุภาพบุรษหรือสุภาพสตรี ทั้งมือเก่าและมือใหม่ได้หยิบชิมลิ้มลองกันนะคะ

เอสคูโด โรโจ Escudo Rojo

เอสคูโด โรโจ (Escudo Rojo)

น่าจะไม่มีคอไวน์คนใดปฏิเสธว่าไม่รู้จัก แบรนด์ของไวน์ที่ชื่อ เอสคูโด โรโจ (Escudo Rojo) ซึ่งเป็นไวน์จากประเทศชิลี (Chile) ถือกำเนิดตั้งแต่ปี ค.ศ.1999 โดยบริษัท บารอน ฟิลิปส์ เดอ รอสชิลด์ (Baron Philippe de Rothschild) ผู้มีประสบการณ์ในการผลิตไวน์มาอย่างยาวนาน แล้วด้วยประเทศชิลีเป็นประเทศที่มีภูมิอากาศดีอันเป็นลักษณะเฉพาะตัวของประเทศที่ผลิตไวน์โลกใหม่คือ มีอากาศร้อนในตอนกลางวันและอากาศเย็นในตอนกลางคืน แล้วพื้นที่ปลูกองุ่นเป็นที่ราบสูง เหตุนี้จึงทำให้ไวน์ เอสคูโด โรโจ (Escudo Rojo) มีลักษณะผสมผสานของไวน์โลกเก่ากับโลกใหม่ได้อย่างเหมาะเจาะลงตัว นอกจากนี้คำว่า เอสคูโด โรโจ (Escudo Rojo) ยังมีความสำคัญที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวและความมุ่งมั่น เนื่องจากคำว่า Escudo Rojo เป็นคำแปลในภาษาสเปนของคำว่า Rothschild อันมีความหมายว่า “โล่สีแดง” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ทางประวัติศาสตร์ของตระกูล Rothschild  

ในด้านการผลิตไวน์ เอสคูโด โรโจ (Escudo Rojo) คือการผสมผสานอันดีของกลุ่มองุ่นพันธุ์ดั้งเดิมที่ประกอบไปด้วย กาแบร์เน โซวีญง (Cabernet Sauvignon) 40%, การ์เมแนร์ (Carmenere) 38%, เซอราห์ (Syrah) 20%, การแบร์เน ฟรังก์ (Cabernet Franc) 2% โดยสิ่งสำคัญของไวน์ตัวนี้อยู่ที่การเก็บองุ่นและคัดองุ่นด้วยมือเท่านั้น เพื่อคุณภาพของไวน์ที่ดี จากนั้นก็จะนำองุ่นทั้งหมดไปหมักในถังโอ๊คนานถึง 12 เดือน สีของไวน์จะมีสีแดงเข้มและสีม่วงเข้ม ลักษณะเงาวาว กลิ่นเมื่อแรกเปิดจะมีกลิ่นที่เข้มข้นของแบล็กเบอร์รี่ แบล็กเชอร์รี่และสตรอเบอร์รี่ป่า อีกทั้งยังมีความเข้มข้นที่ลึกซึ้งจากองุ่นพันธุ์ต่างๆ ทำให้ไวน์มีรสชาติเข้ม แต่นุ่มนวลและหวานละมุน ดื่มง่าย มีระดับปริมาณแอลกอฮอล์ 14% การเก็บรักษาไวน์ควรเก็บจะไว้ในที่ที่มีอุณหภูมิ 16-17 องศาเซลเซียล

จะเห็นได้ว่า เอสคูโด โรโจ (Escudo Rojo) เป็นการผสมผสานวัตถุดิบที่ดีมีคุณภาพได้เข้ากันอย่างพอเหมาะพอดี น่าจะเหมาะกับคอไวน์มือใหม่หรือผู้ที่ต้องการจะลองลิ้มชิมไวน์เป็นหนแรก แต่กระนั้นสำหรับคอไว้มือเก่าก็คงจะอิ่มเอมกับความกลมกล่อมอย่างสมบูรณ์แบบด้วยเช่นกัน

เกลนฟีดดิช Glenfiddich

เกลนฟีดดิช (Glenfiddich)

เกลนฟีดดิช (Glenfiddich) ก่อตั้งในปี ค.ศ.1886 โดย วิลเลี่ยม แกรนท์ (William Grant) คำว่า Glenfiddich เป็นคำในภาษาดั้งเดิมของสก๊อตแลนด์ (Scotland) มีความหมายว่า “หุบเขาแห่งกวาง” (Valley of Deer) ซึ่งสืบเนื่องมาจากพื้นที่เดิมมีสัตว์ป่าอาศัยอยู่มาก โดยเฉพาะกวาง เมื่อมีการพัฒนาพื้นที่เป็นโรงกลั่นจึงได้ตั้งชื่อตามพื้นที่พร้อมกับเลือกสัญลักษณ์ของฉลากเป็นรูปหัวกวาง แล้วก็ผลิตวิสกี้ซิงเกิ้ลมอลต์ (Single Malt Whisky) และได้นำมาให้ผู้คนลิ้มรสครั้งแรกในช่วงคริสต์มาสของปี ค.ศ.1887

เกลนฟีดดิช (Glenfiddich) เป็นวิสกี้ที่มีดีกรีค่อนข้างแรง โดยระดับปริมาณแอลกอฮอลจะอยู่ที่ 40% มีกลิ่นเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง รสชาติหอมสดชื่นดื่มง่าย อาทิเช่น

เกลนฟีดดิช 12 ปี (Glenfiddich 12 Year Old) เป็นรุ่นบุกเบิกของตระกูลซิงเกิ้ลมอลต์ ที่ผลิตด้วยการบ่มในถังโอ๊คอเมริกาและยุโรปเป็นเวลา 12 ปี มีกลิ่นของธัญพืช ดอกไม้ มิเนอรัล มอลต์ น้ำผึ้ง ซีทรัส สไปซี่และกลิ่นโอ๊คกรุ่นๆ ทำให้รสชาติหอมหวานละมุน

เกลนฟีดดิช 15 ปี (Glenfiddich 15 Year Old) เป็นรุ่นที่คอวิสกี้นิยมมาก เนื่องจากมีรสชาติหนักแน่น เพราะถูกบ่มในถังโอ๊คเก่าผสมผสานกับโอ๊คใหม่ ก่อนจะบ่มต่อในถัง Solera Vat รวมทั้งหมดเป็นระยะเวลา 15 ปี จึงได้รสชาติทั้งแน่นทั้งนุ่มเนียนและหอมกลิ่นดอกไม้กับผลไม้เปลือกดำ แล้วก็กลิ่นของเครื่องเทศสมุนไพรที่ทำให้เวลาดื่มจะรู้สึกหอมหวานและชุ่มคอ

เกลนฟีดดิช 18 ปี (Glenfiddich 18 Year Old) วิสกี้ตัวนี้จะเป็นรุ่นนุ่มลึก นุ่มนวลและนุ่มเนียนมาก เพราะเกิดจากการดูแลและควบคุมการผลิตอย่างพิถีพิถัน รวมถึงผลิตในจำนวนจำกัด บ่มในถังโอ๊คที่ผ่านการบ่มแชร์รีสีเข้มและถังที่ผ่านการบ่มเบอร์เบิ้น วิสกี้จะมีกลิ่นผลไม้ที่โดดเด่นทั้งกลิ่นเกรฟฟรุต แอบเปิ้ล เชอร์รี ส้มและแบล็คเบอร์รี พร้อมกับมีกลิ่นของไม้แห้งและเครื่องเทศสมุนไพรจนทำให้มีรสขมนิดๆ

เกลนฟีดดิช 21 ปี (Glenfiddich 21 Year Old) เป็นรุ่นที่ใช้ระยะเวลาในการบ่มนานถึง 21 ปี ด้วยการบ่มในถังโอ๊คที่ผ่านการบ่มรัมจึงทำให้วิสกี้ที่ได้มีความหอมหวานเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะรสทอฟฟี คาราเมลและวานิลลา แล้วก็มีรสของผลไม้สุกอย่างเช่น มะเดื่อ พลัม กล้วยหอมและพุทราจีนเชื่อม โดยรวมวิสกี้ตัวนี้จะมีกลิ่นกรุ่นไปด้วยผลไม้ สมุนไพรและพริกไทย

จะเห็นได้ว่า เกลนฟีดดิช (Glenfiddich) เป็นวิสกี้ที่มีความเป็นตัวของตัวเองค่อนข้างสูง แต่ก็มีรสชาติที่เหมาะกับผู้มีวุฒิภาวะทุกคน ฉะนั้นคอวิสกี้ก็ไม่ควรจะพลาดหุบเขาแห่งกวางตัวนี้นะคะ

 

มอนเตส Montes

มอนเตส (Montes)

สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการดื่มไวน์ หรือเป็น Wine Lover คงจะไม่มีใครไม่รู้จักไวน์จากชิลี (Chile) แบรนด์นี้ มอนเตส (Montes) ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1987 โดย Aurelio Montes และ Douglas Murray ผู้ที่ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ในโลกของไวน์จากการทำงานในฐานะ ผู้ผลิตไวน์ หรือ Wine Maker ก่อนจะเริ่มต้นเส้นทางของตนเอง ทั้งๆ ที่ยังไม่มีไวน์ในชิลีเจ้าไหนจะกล้าลงสนามเทียบชั้นกับไวน์ดังๆ ของโลก แต่ที่สุดแล้ว มอนเตส (Montes) ก็ก้าวขึ้นเป็นที่รู้จักได้สำเร็จ

แน่นอนว่า ความสำเร็จที่ได้มานั้น มิใช่เพราะโชคช่วย แต่เป็นเพราะคุณภาพกับรสชาติที่เมื่อคนรักไวน์ได้ลิ้มรสก็ถึงกับชื่นชอบและบอกต่อๆ ในความเป็นไวน์ก็รู้กันทั่วไปแล้วว่าเป็นเครื่องดื่มที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ไม่มากนัก มอนเตส (Montes) ก็เช่นกัน ไวน์แต่ละตัวจะมีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ระหว่าง 14-14.9% ซึ่งปริมาณเท่านี้หากดื่มแบบพอเหมาะพอดีก็จะส่งผลดีต่อสุขภาพ การเก็บรักษาไวน์ก็เป็นอีกอย่างที่จะทำให้ไวน์มีรสชาติที่ดี ฉะนั้นจึงควรจะเก็บไวน์ไว้ในอุณหภูมิประมาณ 17-19 องศาเซลเซียส หรือประมาณ 62-66 องศาฟาเรนไฮต์ มาถึงตรงนี้เรามีไวน์ตัวที่เป็นชิ้นโบว์แดงและรู้จักกันอย่างแพร่หลายมาแนะนำให้คุณๆ ได้รู้จักมากยิ่งขึ้น ดังต่อไปนี้

มอนเตส คลาสสิก ซีรีส์ กาแบร์เน โซวีญง (Montes Classic Series Cabernet Sauvignon)

ไวน์ตัวนี้เป็นการทำไวน์ด้วยการนำองุ่นสายพันธุ์ กาแบร์เน โซวีญง (Cabernet Sauvignon) 85% และ สายพันธุ์ แมร์โล (Merlot) 15% มาหมักลงในถังโอ๊คฝรั่งเศสเป็นเวลากว่า 8 เดือน สีของไวน์ที่ได้จะออกสีแดงทับทิมอย่างสวยงาม แล้วกลิ่นและรสชาติก็ดีเยี่ยมจากการรวมกลิ่นและรสชาติของผลไม้สีแดงกับสีดำสุกรวมถึงมีกลิ่นเครื่องเทศด้วย

มอนเตส อัลฟา กาแบร์เน โซวีญง (Montes Alpha Cabernet Sauvignon) 

เป็นไวน์ที่มีสีแดงเข้ม รสชาติของไวน์จะเต็มไปด้วยรสของสตรอเบอร์รี่สุกผสมแบล็กเคอร์แรนท์และลูกเกดสีดำ เมื่อดื่มจะให้ความซับซ้อนของรสชาติในปาก การดื่มไวน์ชนิดนี้มีผู้แนะนำว่า ควรจะรินเตรียมไว้ในแก้วที่ใช้ดื่มอย่างน้อย 30 นาที่ เพื่อเป็นการรักษากับทำให้กลิ่นและรสชาติดียิ่งขื้น

การดื่มไวน์เหมาะกับผู้ใหญ่ที่ชอบความคลาสิกลุ่มลึก แล้วก็ยังเหมาะกับผู้ที่ต้องการดื่มเพื่อสุขภาพในด้านช่วยการไหลเวียนโลหิต หากคุณอยู่ในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งตามนี้ มอนเตส (Montes) ก็คงจะเหมาะกับคุณแน่แล้ว

โรเบิร์ต มอนดาวี Robert Mondavi

โรเบิร์ต มอนดาวี (Robert Mondavi)

 น่าจะไม่มีใครไม่รู้จัก โรเบิร์ต มอนดาวี (Robert Mondavi) เจ้าพ่อไวน์แห่งนาปา วัลเลย์ (Napa Valley) ผู้บุกเบิกไวน์แบรนด์ โรเบิร์ต มอนดาวี (Robert Mondavi) ตั้งแต่ปี ค.ศ.1966 จนเป็นที่รู้จักไปทั่วทุกมุมโลก เช่นนั้นจึงขอกล่าวถึงไวน์ที่คุณควรจะลองลิ้มชิมรส ดังต่อไปนี้

โรเบิร์ต มอนดาวี นาปา วัลเลย์ ฟูเม่ บลังก์ (Robert Mondavi Napa Valley Fume Blanc)

ไวน์ตัวนี้เป็นไวน์ชาวมีกระบวนการผลิตค่อนข้างละเอียด โดยใช้องุ่นสองสายพันธุ์ ได้แก่ โซวีญง บลังก์ (Sauvignon Blanc) 87% และ เซมิลยอง (Semillon) 13% ทำให้ไวน์มีคุณลักษณะของความเป็นนาปา วัลเลย์ ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะสี ซึ่งมีสีขาวเหลืองราวกับสีของฟางข้าว เนื้อสัมผัสนุ่ม กลิ่นค่อนข้างจะเปรี้ยวจากมะนาวกับออกรสหวานจากส้มโอและส้มเขียวหวานพร้อมด้วยแอปเปิลเขียว พีช เมลอนและดอกมะลิ ส่วนรสชาติก็มีทั้งหวานนวลปนเปรี้ยวสดชื่น ตัวนี้มีระดับปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ 14.5%

โรเบิร์ต มอนดาวี นาปา วัลเลย์ กาแบร์เน โซวีญง (Robert Mondavi Napa Valley Cabernet Sauvignon)

ตัวนี้ผลิตจากองุ่นหลายพันธุ์ คือ กาแบร์เน โซวีญง (Cabernet Sauvignon) 86%, แมร์โล (Merlot) 10%, เปอติด เวอร์โด (Petit Verdot) 2%, กาแบร์เน ฟรังก์ (Cabernet Franc) 1%, มาลเบ็ค (Malbec) 0.5% และ เซอราห์ (Syrah) 0.5% ไวน์ตัวนี้จะมีกลิ่นหอม มีรสสัมผัสค่อนข้างจะรุนแรงจากแบล็กเบอร์รี่ พลัมและผลไม้สีเข้มผสมกับกลิ่นของเครื่องเทศกับสมุนไพรแถมยังมีความหวานจากผลไม้สุกต่างๆ แล้วก็มีรสสัมผัสของช็อกโกแลตที่ลงตัวจึงทำให้ไวน์มีความอบอุ่น ปริมาณแอลกอฮอล์จะอยู่ที่ 14.5%

โอปุส วัน (Opus One)

เป็นไวน์ที่เกิดจากการรวมตัวกันของสุดยอด 2 ตำนานไวน์ของโลก คือ บารอน ฟิลิปส์ เดอ รอสชิลด์ (Baron Philippe de Rothschild) กับ โรเบิร์ต มอนดาวี (Robert Mondavi) ในปี ค.ศ.1978 โดยในการผลิตไวน์จะทำการเก็บองุ่นด้วยมือล้วนๆ ก่อนจะนำไปหมักในถังสแตนเลสเป็นเวลา 21-37 วัน แล้วจึงถ่ายไปบ่มในถังโอ๊คฝรั่งเศสขนาดเล็กเป็นเวลา 18 เดือน และบรรจุกับบ่มในขวดอีก 18 เดือน กระบวนการเหล่านี้ทำให้รสชาติของ โอปุส วัน (Opus One) มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และมีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ระหว่าง 12-15%

ทั้งหมดทั้งมวลเป็นไวน์ตัวเด่นตัวดังของ โรเบิร์ต มอนดาวี (Robert Mondavi) ที่เหมาะกับทุกผู้ทุกคนผู้ชื่นชอบและรักการดื่มไวน์ โดยเฉพาะ โอปุส วัน (Opus One) ที่คอไวน์หลายคนน่าจะอดน้ำลายสอไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นไวน์ในระดับต้นๆ ของโลกแถมราคาก็เหยียบหลายหมื่นจึงได้กลายเป็นที่นิยมของหมู่นักสะสมไวน์ไปแล้ว

เดอะ ซิงเกิลตัน The Singleton

เดอะ ซิงเกิลตัน (The Singleton)

เดอะ ซิงเกิลตัน (The Singleton) เป็นอีกแบรนด์ของสก็อตแลนด์ (Scotland) ที่มีความเป็นมายาวนานกว่า120 ปี โดยเริ่มกลั่นวิสกี้ครั้งแรกในปี ค.ศ.1898 เป็นซิงเกิลมอลต์ (Single Malt) มีรสชาติดีจนถูกร่ำลือว่าเป็นวิสกี้ตัวโปรดของพระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 แล้วก็น่าจะสมกับคำร่ำลือ เมื่อ เดอะ ซิงเกิลตัน (The Singleton) ได้กวาดรางวัลอันทรงเกียรติ 4 เหรียญทองเกียรติยศ (Double Gold Award) และ รางวัล 1 เหรียญเงิน (Silver Award) ประจำปี 2020 จากเวทีการแข่งขันเครื่องดื่มสปิริตระดับโลก ที่ เมืองซานฟรานซิสโก (The San Francisco World Spirits Competition) ซึ่งเป็นการแข่งขันที่มีชื่อเสียง น่าเชื่อถือ แล้วยังได้รับการยอมรับจากผู้ค้าและผู้บริโภคทั่วโลก นี่จึงเป็นการตอกย้ำความมั่นใจในมาตรฐานการผลิตของแบรนด์นี้

จากผลการแข่งขันในเวทีระดับโลก  เราจะขอแนะนำวิสกี้ตัวที่ได้รับรางวัลเหรียญทองเกียรติยศ 4 รุ่น ดังนี้ เดอะ ซิงเกิลตัน ออฟ ดัฟฟ์ทาวน์ 12 ปี (The Singleton of Dufftown 12 Year Old) ตัวนี้เป็นวิสกี้ที่เกิดจากการหมักข้าวบาร์เลย์แท้ 100% สีของวิสกี้จะมีสีเหลืองเหมือนกับสีของรังผึ้ง กลิ่นค่อนข้างจะนุ่มนวล รสชาติก็นุ่มนวล บางเบาและหวานฉ่ำด้วยรสของผลไม้อย่างผลส้ม สับปะรด และแอพริคอท ระดับปริมาณแอลกอฮอลอยู่ที่ 40% เดอะ ซิงเกิลตัน ออฟ เกลนดัลแลน 12 ปี (The Singleton of Glendullan 12 Year Old) เป็นวิสกี้ที่เป็นที่นิยมอย่างมาก กลิ่นและรสชาติของวิสกี้ค่อนข้างจะเป็นเอกลักษณ์ด้วยความนุ่มของวานิลลาปนผลไม้กับถั่ว ตัวนี้มีระดับปริมาณแอลกอฮอลอยู่ที่ 40% เดอะ ซิงเกิลตัน ออฟ เกลนดัลแลน 15 ปี (The Singleton of Glendullan 15 Year Old) วิสกี้ตัวนี้มีรสชาติที่ยอดเยี่ยม ทั้งด้านกลิ่น รสชาติและเนื้อสัมผัสที่ผสมกันได้อย่างลงตัว โดยเฉพาะเนื้อสัมผัสที่มีความสวยงามและเรียบเนียน ซึ่งถือได้ว่าเป็นวิสกี้ที่ไม่เหมือนใครจริงๆ ระดับปริมาณแอลกอฮอล์จะอยู่ที่ 40% เดอะ ซิงเกิลตัน ออฟ เกลนดัลแลน 18 ปี (The Singleton of Glendullan 18 Year Old) ตัวนี้เป็นวิสกี้ที่มีชื่อเสียงเรื่องกระบวนการผลิตจากการหมักในถังโอ๊คอเมริกาและถังโอ๊คเก่า วิสกี้จึงมีเนื้อสัมผัส รสชาติและกลิ่นแตกต่างจากตัวอื่นตรงที่เป็นการแสดงออกถึงความซับซ้อนและเต็มเปี่ยมในด้านวิธีการผลิตจึงทำให้วิสกี้ตัวนี้มีความโดดเด่นและมีระดับปริมาณแอลกอฮอล์ 40% เท่านั้น

ตามข้อมูลก็จะบอกเป็นนัยแล้วว่า เดอะ ซิงเกิลตัน (The Singleton) เหมาะกับคอวิสกี้ผู้รักและชื่นชอบในความโดดเด่นที่แตกต่างจากใครๆ

เดอะ เกลนลิเว็ต The Glenlivet

เดอะ เกลนลิเว็ต (The Glenlivet)

เดอะ เกลนลิเว็ต (The Glenlivet) มาจากภาษาเกลิค (Gaelic) มีความหมายว่า Valley of the smooth-follow one ถือกำเนิดมาจากความเชื่อมั่นในการรังสรรค์อารยธรรมแห่งการดื่มวิสกี้ของบุคคลที่ชื่อว่า จอร์จ สมิธ (George Smith) ซึ่งผลักดันให้การตั้งโรงกลั่นเป็นไปอย่างถูกต้องและได้รับใบอนุญาตกลั่นวิสกี้อย่างถูกกฏหมายเป็นคนแรกในปี ค.ศ.1824 นับตั้งแต่นั้น เดอะ เกลนลิเว็ต (The Glenlivet) ก็ได้ดำเนินการต่อเนื่องเป็นวิสกี้ซิงเกิ้ลมอลต์ (Single Malt Scotch Whisky) ที่มีคุณภาพจนเป็นที่รู้จักมาจนถึงปัจจุบัน

วิสกี้ของ เดอะ เกลนลิเว็ต (The Glenlivet) ตัวที่ได้รับความนิยมค่อนข้างสูง ได้แก่ ตัวที่หนึ่ง เดอะ เกลนลิเว็ต (The Glenlivet) 12 Year Old ซึ่งได้มีผู้ให้สมญาว่า “วิสกี้หวานปานน้ำผึ้ง” โดยวิสกี้จะมีรสชาติที่หวานบางเบาและนุ่มละมุนลิ้น แล้วยังมีรสสัมผัสของผลไม้ผสมกับน้ำ วิสกี้ตัวนี้เป็นตัวที่ดีเยี่ยมจากกรรมวิธีการหมักที่มีชื่อเสียงของแบรนด์จึงทำให้วิสกี้มีกลิ่นที่แตกต่างจากตัวอื่นๆ และมีระดับปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ 40% ตัวที่สอง เดอะ เกลนลิเว็ต (The Glenlivet) 15 Year Old ปริมาณแอลกอฮอล์จะอยู่ที 40% ตัวนี้จะมีความพิเศษตรงที่หมักและบ่มในถังโอ๊คฝรั่งเศสจึงทำให้ได้รสชาติหนักแน่น แต่นุ่ม สีมีสีเหลืองทองเข้ม กลิ่นเมื่อดมครั้งแรกจะได้กลิ่นเนย ตามด้วยกลิ่นผลไม้ ถั่วและเครื่องเทศ เช่น อบเชย กานพลู ตัวที่สาม เดอะ เกลนลิเว็ต (The Glenlivet) 18 Year Old วิสกี้ตัวนี้เป็นสไตล์บาลานซ์และคลาสสิคที่บ่มแบบผสมผสานกันในถังโอ๊คอเมริกันและยุโรป สีทองเข้มสวยงาม กลิ่นค่อนข้างกว้างและกลมกล่อม หอมเปรี้ยวที่มาจากผลส้มสุก แล้วยังมีรสชาติของน้ำผึ้ง คาราเมล ผลแอปเปิลและลูกเกด โดยรวมเป็นวิสกี้ที่มีกลิ่นและรสชาติที่ทั้งหวาน เปรี้ยวและเผ็ดอย่างลงตัว ระดับปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ 43% ก็ถือว่าเหมาะสม ตัวสุดท้าย เดอะ เกลนลิเว็ต (The Glenlivet) 21 Year Old Archive ตัวนี้เป็นวิสกี้ที่นุ่มติดลิ้นยาวนาน มีกลิ่นหอมหวานเป็นธรรมชาติและมีความเป็นผลไม้สูงมาก ระดับปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ 43% วิสกี้ของแบรนด์นี้เหมาะกับผู้คนทั่วไปที่หลงใหลในความมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสูง หากได้ลิ้มลองจะต้องไม่มีวันลืมเลย

ทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้เป็นเพียงวิสกี้ส่วนหนึ่งของแบรนด์ เดอะ เกลนลิเว็ต (The Glenlivet) เท่านั้น ยังมีอีกหลากหลายให้คุณได้ค้นหาตามที่คุณต้องการค่ะ